แก้วมังกร
แก้วมังกร
ลักษณะทางธรรมชาติ :
* เป็นพืชอวบน้ำ ต้องการน้ำอย่างสม่ำเสมอแต่ไม่มากจนแฉะหรือขังค้าง ถ้าได้น้ำน้อยต้นจะเกิดอาการกิ่งก้านเล็กเรียว ยาวเก้งก้าง ไม่สมบูรณ์ ไม่ออกดอกติดผล แต่ถ้าได้รับน้ำมากเกินไปถึงต้นจะสมบูรณ์แต่ก็ไม่ออกดอกติดผล(เฝือใบ) เหมือนกัน
* ประเทศเวียดนามได้พัฒนาสายพันธุ์แก้วมังกรจนได้พันธุ์ดีเป็นที่ต้องการของ ตลาดถึง 13 สายพันธุ์ ในจำนวนนี้มีพันธุ์ฟานเทียส. เป็นพันธุ์ดีที่สุด ซึ่งประเทศเวียดนามได้ประกาศห้ามนำสายพันธุ์ออกนอกประเทศ แต่ฟานเทียส.ได้เข้ามาแพร่หลายในประเทศไทยแล้วเรียกว่าพันธุ์ เวียดนาม ก่อนประเทศเวียดนามจะประกาศห้ามนำออกนอกประเทศ
* แบ่งเป็นกลุ่มสายพันธุ์ได้แก่ พันธุ์เนื้อขาว. เนื้อแดง. เนื้อชมพูอมแดง. เนื้อเหลือง.
* พันธุ์ผิวทอง (เหลือง) จากโคลัมเบียปลูกในเขตภาคกลางได้ผลไม่ดี แต่ปลูกในเขต จ.เพชรบูรณ์ได้ผลผลิตดีมาก
* พันธุ์เนื้อสีแดงและสีเหลืองมีเกสรตัวผู้ไม่ค่อยสมบูรณ์ต้องอาศัยเกสรตัวผู้ ของดอกต่างต้น โดยช่วยผสมด้วยมือจึงจะติดผลดกดี
* พันธุ์ไร้หนามไม่ใช่ไม่มีหนามเพียงแต่หนามสั้นมาก และเมื่อกิ่งแก่จัดหนามจะหลุดจากกิ่งเอง
* ไม่มีใบเหมือนต้นไม้ผลทั่วๆไป แต่อาศัยเปลือกสีเขียวของกิ่งหรือก้านทำหน้าที่แทนใบ
* ตาดอกอยู่ที่ข้อใต้หนาม ออกดอกได้ทั้งจากตาที่ข้อใต้หนามและจากตาที่ส่วนปลายสุดของกิ่ง
* อายุดอกตั้งแต่เริ่มแทงออกมาขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียวถึงดอกบาน 15 วัน
* อายุผลตั้งแต่ผสมติดหรือกลีบดอกร่วงถึงเก็บเกี่ยว 30 วัน
* ดอกเป็นดอกสมบูรณ์เพศ มีทั้งเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียอยู่ในดอกเดียวกัน ผสมกันเองหรือผสมข้ามดอกข้ามต้นได้
* ดอกบานพร้อมผสมช่วงหัวค่ำระหว่างเวลา 19.00 - 21.00 น.บานเพียงคืนเดียว เมื่อถึงเช้าวันรุ่งขึ้นก็โรย
* ออกดอกติดผลดีในฤดูกาลที่ช่วงกลางวันนานกว่ากลางคืน โดยช่วงเดือน เม.ย. - ต.ค. สามารถออกดอกได้ตลอด หลังเก็บเกี่ยวไปแล้วอีก 15 – 20 วัน จะมีดอกชุดใหม่ตามออกมาอีก ครั้นถึงช่วงเดือนพ.ย. –มี.ค.หรือช่วงอากาศหนาวเย็นจะพักต้นและไม่ออกดอก
* เกสรตัวผู้หรือเกสรตัวเมียอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างไม่สมบูรณ์เกิด จากขาดสารอาหาร/ฮอร์โมนหรือสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม (อากาศร้อนหรือฝนตกชุก) แล้วผสมกันแล้วพัฒนาเป็นผลจะเป็นผลไม่สมบูรณ์ ไม่โต รูปทรงบิดเบี้ยว
* ช่วงอากาศหนาวเย็นแม้จะออกดอกตามธรรมชาติได้แต่จำนวนดอกจะน้อยกว่าช่วงอากาศร้อน
* การใช้สารพาโคลบิวทาโซลบังคับให้ออกดอกนอกฤดูสามารถทำได้แต่ผลที่ออกมาจะบิด เบี้ยวเสียรูปทรง คุณภาพไม่ค่อยดี
* การใช้ฮอร์โมนจิ๊บเบอเรลลิน.(8 มก.) อัลฟ่า เอ็นเอเอ.(150 มก.) หรือเบทา เอ็นเอเอ.(400 มก.)อย่างใดอย่างหนึ่ง ต่อน้ำ 1 ล. ฉีดพ่นพอเปียกใบ (กิ่ง) ก่อนดอกบาน 11 วัน จะช่วยให้ผลมีน้ำหนัก ความหวาน ความแน่นเนื้อ ความหนาเปลือก สีเนื้อ สีเปลือก และกลีบผล มีคุณภาพดีขึ้น
* ตอบสนองต่อปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยน้ำชีวภาพ ฮอร์โมนวิทยาศาสตร์ และฮอร์โมนธรรมชาติ (ทำเอง)ได้ดีและเร็วมาก
* กิ่งขนาดใหญ่ อวบอ้วน ยาว 50 - 80 ซม. ออกดอกได้ดีกว่ากิ่งเรียวเล็กยาว
* อาการเฝือใบสังเกตได้จาก จำนวนกิ่งมาก สีเขียวอ่อน แตกยอดใหม่เสมอ กิ่งเรียวเล็ก ยาวเก้งก้าง
* กิ่งเล็กเรียวยาวเขียวอ่อน คือ ลักษณะงามแต่ใบจึงไม่ออกดอก แก้ไขโดยเมื่อกิ่งนั้นยาว 1 - 1.20 ม.ให้เด็ดปลายกิ่ง 3 - 4 ข้อทิ้ง หลังจากถูกเด็ดปลายแล้วกิ่งนั้นจะใหญ่และเขียวเข้มขึ้นซึ่งพร้อมต่อการออก ดอกติดผลต่อไป
* เป็นไม้เลื้อยขึ้นสู่ที่สูงโดยมีรากทำหน้าเกาะยึดเหมือนพริกไทย ดีปลี พลูฝรั่ง กล้วยไม้ ตราบใดที่มีความสูงให้เลื้อยขึ้นได้ก็จะเลื้อยขึ้นไปเรื่อยๆ ระหว่างกิ่งกำลังเลื้อยขึ้นไปอย่างไม่หยุดนี้โอกาสที่จะออกดอกมีน้อยมากแต่ ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ออกดอกติดผลเสียเลย ซึ่งกิ่งหรือยอดที่กำลังเลื้อยขึ้นนี้สามารถออกดอกได้เช่นกัน ถ้าต้นมีความสมบูรณ์อย่างแท้จริง
* อายุต้น 6-8 เดือนขึ้นไป เมื่อกิ่งหรือยอดเลื้อยเกาะหลักขึ้นไปได้สูง 80-120 ซม. จนสุดหัวหลักยอดนั้นจะชี้ลงเองแล้วพัฒนาเป็นกิ่งแก่ ซึ่งกิ่งแก่ชี้ลงนี้ออกดอกติดผลได้ง่ายและดีกว่ากิ่งชี้ขึ้น
* กับต้นไม้ใหญ่ยืนต้นสูง 10-20 ม.แก้วมังกรจะอาศัยเกาะเลื้อยขึ้นไปจนถึงยอดสุดแล้วออกดอกติดผลได้เช่นกัน
* รากที่เกาะหลักเพื่อยึดลำต้นของตัวเองให้ติดกับหลักนั้น ช่วงแรกๆรากจะดูดซับความชื้นหรือธาตุอาหารจากหลักที่เกาะยึด เมื่อรากเจริญยาวจนลงไปถึงดินและแทงลงดินได้แล้วก็จะดูดซับธาตุอาหารจากดิน เหมือนไม้พืชทั่วๆไป ระหว่างที่รากใหญ่หรือรากประธานกำลังเจริญยาวลงสู่พื้นดินนั้นจะมีรากแขนง แตกออกมาเรื่อยๆขึ้นอยู่กับความชื้นหรือธาตุอาหารที่มีอยู่บน หลัก
* รากหาอาหารบริเวณหน้าดินตื้นๆ การใช้กาบมะพร้าวใหญ่คลุมโคนหลักหนาๆ กว้างทั่วเขตทรงพุ่ม โรยทับด้วยอินทรีย์วัตถุ รากจะชอนไชอยู่กับกาบมะพร้าว ซึ่งนอกจากมีสาร อาหารมากแล้ว ยังมีอากาศถ่ายเทสะดวกอีกด้วย
* การใช้หลักสำหรับเกาะเป็นวัสดุอุ้มน้ำอย่างท่อคอนกรีตหรือท่อยิบซั่มระบาย น้ำขนาด 6 นิ้วปิดปลายท่อด้านล่าง ฝังลงดินแล้วใส่น้ำเปล่าหรือน้ำผสมธาตุอาหารลงไปในท่อให้เต็มอยู่เสมอ น้ำที่ค่อยๆซึมออกมาตามผิวท่อนอกจากช่วยสร้างความชุ่มชื้นแล้วยังเป็นสาร อาหารอีกด้วย
ข้อดีของหลักท่อระบายน้ำยิบซั่ม คือ น้ำสามารถซึมออกมตามผิวท่อได้ตลอดเวลา แต่มีข้อด้อยที่ไม่คงทน เมื่ออุ้มน้ำเป็นระยะเวลานานๆ (หลายปี) จะผุเปื่อยหรือไม่แข็งแรงจนเป็นเหตุให้หักล้มได้ ต่างจากเสาหลักไม้เนื้อแข็งแม้จะไม่มีน้ำซึมออกมาแต่ก็คงทนกว่าหลาย เท่า
การเติมน้ำใส่ลงไปในท่อทำได้แต่ช่วงแรกๆที่ต้นยังเล็ก ครั้นเมื่อต้นโตขึ้น แตกกิ่งก้านเต็มหัวเสาแล้วจะไม่สะดวกนักต่อการเติมน้ำลงไปในท่องต้องใช้ อุปกรณ์หรือเครื่องมือพิเศษเข้าช่วย
* วิธีสร้างหลักให้ส่วนที่อยู่เหนือพื้นดิน 1.20 ม. เป็นความสูงเหมาะที่สุด ยอดหลักมีไม้เนื้อแข็งทำเป็นสี่แฉกกากบาด เส้นผ่าศูนย์กลาง 1 ม. ปลายกากบาดมีไม้เนื้อแข็งยึดทั้งสี่ปลาย กากบาดหัวเสานี้ใช้เป็นค้างให้กิ่งแก้วมังกรพาดแล้วชี้ปลายลงก่อนออกดอกติด ผล
* เป็นพืชอายุยืนหลายสิบปี มีอัตราการเจริญเติบโตทางยาวเหมือนไม้ผลยืนต้นทั่วไปที่เจริญเติบโตทางสูง การใช้หลักที่เป็นวัสดุไม่คงทน ผุเปื่อยง่าย เมื่อต้นแก้วมังกรอายุมากขึ้นหรือทรงพุ่มหนา น้ำหนักมาก หลักอาจจะพังลงได้ การเลือกใช้หลักคอนกรีตตันประเภทเสารั้ว ขนาด 4 X 4 นิ้วหรือ 6 X 6 นิ้ว หรือเสาไม้เนื้อแข็งขนาดเดียวกันจะทนทานกว่า
* เมื่ออายุต้นมากๆ นอกจากมีน้ำหนักมากแล้วยังต้านลมอีกด้วยนั้น แนะนำให้ฝังหลักลึก 1-1.20 ม. หรือมากกว่าจะช่วยให้หลักตั้งอยู่ได้นานโดยไม่ล้มเสียก่อน ทั้งนี้ การบำรุงแก้วมังกรตามแนว อินทรีย์ชีวภาพ นำ - เคมีวิทยาศาสตร์ เสริม ประจำและสม่ำเสมอจะทำให้ดินโคนหลักอ่อนส่งผลให้หลักล้มได้ง่าย
* ต้นที่มีกิ่งน้อยๆ (30-50 เปอร์เซ็นต์) หัวหลักโปร่ง แสงแดดส่องทั่วทุกกิ่ง จะออกดอกติดผลดีกว่าต้นที่มีกิ่งมากๆจนหัวหลักแน่นทึบ แก้ไขด้วยการหมั่นตัดแต่งกิ่ง โดยตัดโคนกิ่งชิดหัวหลักและหมั่นตัดกิ่งแขนงที่งอกออกมาจากกิ่งประธานอยู่ เสมอ
กิ่งแขนงไม่ค่อยออกดอกติดผลหรือออกดอกติดผลได้น้อยกว่ากิ่งประธาน การเหลือกิ่งน้อยๆจนหัวหลักโปร่งนอกจากช่วยลดน้ำหนักที่หัวหลักแล้วยังทำให้ ลดการสูญเสียน้ำเลี้ยงอีกด้วย
* ต้นอายุมากๆหรือแก่จัด เริ่มให้ผลผลิตน้อยลง แก้ไขด้วยวิธี ตัดแต่งกิ่งแบบทำสาว โดยตัดทิ้งกิ่งส่วนที่อยู่เหนือค้างออกทั้งหมด หรือตัดต้นที่เสาต่ำกว่าค้างให้เหลือส่วนตอเกาะเสาหรือหลัก 1 ม. จากนั้นบำรุงเรียกกิ่ง(ใบ) อ่อนใหม่ เมื่อกิ่งอ่อนใหม่เจริญเติบโตขึ้นก็จะออกดอกติดผลเหมือนการปลูกด้วยต้นตอ ครั้งแรก
* เทคนิคการบำรุงแบบให้มีธาตุอาหารกินตลอด 24 ชม.ต่อเนื่องทั้งปีหรือหลายๆปีติดต่อกันโดยฝังซากสัตว์ (หอยเชอรี่ หัวปลา พุงปลา ซี่โครงไก่ กระดูกป่น) จะช่วยให้ต้นสมบูรณ์อยู่เสมอ
ซากสัตว์ผุเปื่อยใหม่ๆมีความเป็นกรดจัดมาก จึงไม่ควรฝังซากสัตว์ในระหว่างการพัฒนาของต้นช่วงสำคัญๆ (สะสมอาหาร-เปิดตาดอก-บำรุงดอก-บำรุงผล.) แต่ให้ฝังก่อนล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 3-6 เดือน เพื่อให้เวลาแก่จุลินทรีย์ได้สลายฤทธิ์ความเป็นกรดจัดของซากสัตว์สดๆที่ เริ่มผุเปื่อย จนกลายเป็นอินทรีย์สารที่พืชสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จึงจะได้ประโยชน์สูง สุดอย่างแท้จริง
การใช้ซากสัตว์ผ่านกระบวนการหมักจนเป็นปุ๋ยน้ำชีวภาพพร้อมใช้ และปรับค่ากรดด่างแล้วแทนการฝังซากสัตว์สดๆ จะได้ผลดีกว่า
* เทคนิคล่อรากด้วยการใช้กาบมะพร้าวคลุมโคนต้นหนา 20-30 ซม.ทั่วพื้นที่ทรงพุ่ม หว่านทับด้วยปุ๋ยคอกเสริมด้วยยิบซั่มธรรมชาติ กระดูกป่นและจุลินทรีย์ จะช่วยให้รากขึ้นมาหาอาหารบนกาบมะพร้าวที่มีอากาศถ่ายสะดวกส่งผลให้ต้น สมบูรณ์แข็งแรงดีกว่าการปล่อยรากเดินอิสระใต้ผิว ดิน
* ปุ๋ยคอก-ปุ๋ยอินทรีย์ที่เหมาะสำหรับแก้วมังกรอายุต้นให้ผลผลิตแล้วควรประกอบ ส่วน ดังนี้ “มูลวัวเนื้อ/วัวนม10 ส่วน, มูลไก่ไข่/ไก่เนื้อ/นกกระทา 3 ส่วน, มูลค้างคาว 1 ส่วน, ยิบซั่มธรรมชาติ 2 ส่วน, กระดูกป่น 1 ส่วน” คลุกเคล้าเข้ากันดีรวมเป็น 1 ส่วน นำมาผสมกับกาบมะพร้าวใหญ่ 1 ส่วน ใช้คลุมโคนหลัก
* ตอบสนองต่อมูลค้างคาวดีมาก ควรใส่มูลค้างคาวประจำ 1 กำมือ/ต้น/3 เดือน ด้วยการหว่านทั่วทรงพุ่มหรือละลายน้ำรด
* ต้องการให้แก้วมังกรที่เลื้อยขึ้นถึงค้างบนหัวเสาแล้วแตกยอดใหม่เร็วและ จำนวนมากๆ ให้ใช้หญ้าแห้งหรือฟางแห้งคลุมหัวเสาหนาๆ
* เริ่มห่อผลเมื่ออายุผล 15 วัน หรือ 2 สัปดาห์หลังกลีบดอกร่วง
* ตรวจสอบอาการอั้นตาดอกด้วยการใช้ปลายเล็บขูดผิวเปลือกบริเวณตุ่มตา (ใต้หนาม) ดูเนื้อในไต้เปลือก ถ้าเนื้อในใต้หนามเป็นสีเหลืองอมน้ำตาลแสดงว่าอั้นตาดอกดี เมื่อเปิดตาดอกจะออกเป็นดอก แต่ถ้าเนื้อในใต้หนามเป็นเขียวแสดงว่ายังอั้นตาดอกไม่ดี เปิดตาดอกไม่ออก
* ห่อผลแก้วมังกรด้วยถุงใยสังเคราะห์จะช่วยรักษาผิวและสีเปลือกได้ดีกว่าถุงห่ออย่างอื่น
* อายุผลครบกำหนดเก็บเกี่ยวหรือ 30 วันหลังกลีบดอกร่วง สีเปลือกแดงดีแล้วสามารถปล่อยฝากต้นต่อไปได้อีก15 วัน โดยสีเปลือกที่เคยแดงเข้มจะลดลงมาเป็นแดงอมชมพู แต่ขนาดผลจะใหญ่ขึ้นรส ชาติและน้ำหนักดีขึ้นไปอีก
* ช่วงที่ผลกำลังพัฒนาแล้วมีฝนตกชุก ให้บำรุงด้วย "ธาตุรอง/ธาตุเสริม" ถี่ขึ้นระดับวันเว้นวันจนถึงเก็บเกี่ยวจะช่วยให้คุณภาพผลดี รสหวาน เนื้อแน่น เปลือกบาง แต่ถ้าบำรุงด้วยธาตุรอง/ธาตุเสริมไม่ถึงจะทำให้รสเปรี้ยวหรือจืดชืด เนื้อเหลว เปลือกหนา
* ช่วงผลแก่ใกล้เก็บเกี่ยวแล้วมีฝนตกชุก สีเปลือกจะไม่แดงแต่ยังคงเขียว ให้บำรุงด้วยธาตุรอง/ธาตุเสริมถี่ๆ ระดับวันเว้นวันต่อไป จนกระทั่งครบกำหนดวันเก็บซึ่งสีเปลือกยังเขียวอยู่ เก็บมาแล้วปล่อยทิ้งให้ลืมต้น 2-3 วัน สีเปลือกจะเปลี่ยนจารเขียวเป็นแดงเอง ส่วนรสชาติก็จะยังคงดีเหมือนเดิม
* ผลแก้วมังกรที่ได้รับธาตุรอง/ธาตุเสริมเต็มที่ เมื่อแกะผลด้วยมือ (ไม่ใช้มีดผ่า) เนื้อจะจับเหมือนวุ้นก้อนเล็กๆรสชาติดีมาก
* ยืดอายุผลหลังเก็บเกี่ยวโดยเก็บรักษาที่อุณหภูมิ 5 องสาเซลเซียส. ออกซิเจนผ่านได้ 4 ล./ตร.ม./ชม.จะสดอยู่ได้นาน 30-35 วัน
* กลีบดอกสดใหม่ปรุงอาหารประเภทยำหรือผัดน้ำมันหอยรสชาติอร่อยดี
* เป็นพืชอวบน้ำ ต้องการน้ำอย่างสม่ำเสมอแต่ไม่มากจนแฉะหรือขังค้าง ถ้าได้น้ำน้อยต้นจะเกิดอาการกิ่งก้านเล็กเรียว ยาวเก้งก้าง ไม่สมบูรณ์ ไม่ออกดอกติดผล แต่ถ้าได้รับน้ำมากเกินไปถึงต้นจะสมบูรณ์แต่ก็ไม่ออกดอกติดผล(เฝือใบ) เหมือนกัน
* ประเทศเวียดนามได้พัฒนาสายพันธุ์แก้วมังกรจนได้พันธุ์ดีเป็นที่ต้องการของ ตลาดถึง 13 สายพันธุ์ ในจำนวนนี้มีพันธุ์ฟานเทียส. เป็นพันธุ์ดีที่สุด ซึ่งประเทศเวียดนามได้ประกาศห้ามนำสายพันธุ์ออกนอกประเทศ แต่ฟานเทียส.ได้เข้ามาแพร่หลายในประเทศไทยแล้วเรียกว่าพันธุ์ เวียดนาม ก่อนประเทศเวียดนามจะประกาศห้ามนำออกนอกประเทศ
* แบ่งเป็นกลุ่มสายพันธุ์ได้แก่ พันธุ์เนื้อขาว. เนื้อแดง. เนื้อชมพูอมแดง. เนื้อเหลือง.
* พันธุ์ผิวทอง (เหลือง) จากโคลัมเบียปลูกในเขตภาคกลางได้ผลไม่ดี แต่ปลูกในเขต จ.เพชรบูรณ์ได้ผลผลิตดีมาก
* พันธุ์เนื้อสีแดงและสีเหลืองมีเกสรตัวผู้ไม่ค่อยสมบูรณ์ต้องอาศัยเกสรตัวผู้ ของดอกต่างต้น โดยช่วยผสมด้วยมือจึงจะติดผลดกดี
* พันธุ์ไร้หนามไม่ใช่ไม่มีหนามเพียงแต่หนามสั้นมาก และเมื่อกิ่งแก่จัดหนามจะหลุดจากกิ่งเอง
* ไม่มีใบเหมือนต้นไม้ผลทั่วๆไป แต่อาศัยเปลือกสีเขียวของกิ่งหรือก้านทำหน้าที่แทนใบ
* ตาดอกอยู่ที่ข้อใต้หนาม ออกดอกได้ทั้งจากตาที่ข้อใต้หนามและจากตาที่ส่วนปลายสุดของกิ่ง
* อายุดอกตั้งแต่เริ่มแทงออกมาขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียวถึงดอกบาน 15 วัน
* อายุผลตั้งแต่ผสมติดหรือกลีบดอกร่วงถึงเก็บเกี่ยว 30 วัน
* ดอกเป็นดอกสมบูรณ์เพศ มีทั้งเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียอยู่ในดอกเดียวกัน ผสมกันเองหรือผสมข้ามดอกข้ามต้นได้
* ดอกบานพร้อมผสมช่วงหัวค่ำระหว่างเวลา 19.00 - 21.00 น.บานเพียงคืนเดียว เมื่อถึงเช้าวันรุ่งขึ้นก็โรย
* ออกดอกติดผลดีในฤดูกาลที่ช่วงกลางวันนานกว่ากลางคืน โดยช่วงเดือน เม.ย. - ต.ค. สามารถออกดอกได้ตลอด หลังเก็บเกี่ยวไปแล้วอีก 15 – 20 วัน จะมีดอกชุดใหม่ตามออกมาอีก ครั้นถึงช่วงเดือนพ.ย. –มี.ค.หรือช่วงอากาศหนาวเย็นจะพักต้นและไม่ออกดอก
* เกสรตัวผู้หรือเกสรตัวเมียอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างไม่สมบูรณ์เกิด จากขาดสารอาหาร/ฮอร์โมนหรือสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม (อากาศร้อนหรือฝนตกชุก) แล้วผสมกันแล้วพัฒนาเป็นผลจะเป็นผลไม่สมบูรณ์ ไม่โต รูปทรงบิดเบี้ยว
* ช่วงอากาศหนาวเย็นแม้จะออกดอกตามธรรมชาติได้แต่จำนวนดอกจะน้อยกว่าช่วงอากาศร้อน
* การใช้สารพาโคลบิวทาโซลบังคับให้ออกดอกนอกฤดูสามารถทำได้แต่ผลที่ออกมาจะบิด เบี้ยวเสียรูปทรง คุณภาพไม่ค่อยดี
* การใช้ฮอร์โมนจิ๊บเบอเรลลิน.(8 มก.) อัลฟ่า เอ็นเอเอ.(150 มก.) หรือเบทา เอ็นเอเอ.(400 มก.)อย่างใดอย่างหนึ่ง ต่อน้ำ 1 ล. ฉีดพ่นพอเปียกใบ (กิ่ง) ก่อนดอกบาน 11 วัน จะช่วยให้ผลมีน้ำหนัก ความหวาน ความแน่นเนื้อ ความหนาเปลือก สีเนื้อ สีเปลือก และกลีบผล มีคุณภาพดีขึ้น
* ตอบสนองต่อปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยน้ำชีวภาพ ฮอร์โมนวิทยาศาสตร์ และฮอร์โมนธรรมชาติ (ทำเอง)ได้ดีและเร็วมาก
* กิ่งขนาดใหญ่ อวบอ้วน ยาว 50 - 80 ซม. ออกดอกได้ดีกว่ากิ่งเรียวเล็กยาว
* อาการเฝือใบสังเกตได้จาก จำนวนกิ่งมาก สีเขียวอ่อน แตกยอดใหม่เสมอ กิ่งเรียวเล็ก ยาวเก้งก้าง
* กิ่งเล็กเรียวยาวเขียวอ่อน คือ ลักษณะงามแต่ใบจึงไม่ออกดอก แก้ไขโดยเมื่อกิ่งนั้นยาว 1 - 1.20 ม.ให้เด็ดปลายกิ่ง 3 - 4 ข้อทิ้ง หลังจากถูกเด็ดปลายแล้วกิ่งนั้นจะใหญ่และเขียวเข้มขึ้นซึ่งพร้อมต่อการออก ดอกติดผลต่อไป
* เป็นไม้เลื้อยขึ้นสู่ที่สูงโดยมีรากทำหน้าเกาะยึดเหมือนพริกไทย ดีปลี พลูฝรั่ง กล้วยไม้ ตราบใดที่มีความสูงให้เลื้อยขึ้นได้ก็จะเลื้อยขึ้นไปเรื่อยๆ ระหว่างกิ่งกำลังเลื้อยขึ้นไปอย่างไม่หยุดนี้โอกาสที่จะออกดอกมีน้อยมากแต่ ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ออกดอกติดผลเสียเลย ซึ่งกิ่งหรือยอดที่กำลังเลื้อยขึ้นนี้สามารถออกดอกได้เช่นกัน ถ้าต้นมีความสมบูรณ์อย่างแท้จริง
* อายุต้น 6-8 เดือนขึ้นไป เมื่อกิ่งหรือยอดเลื้อยเกาะหลักขึ้นไปได้สูง 80-120 ซม. จนสุดหัวหลักยอดนั้นจะชี้ลงเองแล้วพัฒนาเป็นกิ่งแก่ ซึ่งกิ่งแก่ชี้ลงนี้ออกดอกติดผลได้ง่ายและดีกว่ากิ่งชี้ขึ้น
* กับต้นไม้ใหญ่ยืนต้นสูง 10-20 ม.แก้วมังกรจะอาศัยเกาะเลื้อยขึ้นไปจนถึงยอดสุดแล้วออกดอกติดผลได้เช่นกัน
* รากที่เกาะหลักเพื่อยึดลำต้นของตัวเองให้ติดกับหลักนั้น ช่วงแรกๆรากจะดูดซับความชื้นหรือธาตุอาหารจากหลักที่เกาะยึด เมื่อรากเจริญยาวจนลงไปถึงดินและแทงลงดินได้แล้วก็จะดูดซับธาตุอาหารจากดิน เหมือนไม้พืชทั่วๆไป ระหว่างที่รากใหญ่หรือรากประธานกำลังเจริญยาวลงสู่พื้นดินนั้นจะมีรากแขนง แตกออกมาเรื่อยๆขึ้นอยู่กับความชื้นหรือธาตุอาหารที่มีอยู่บน หลัก
* รากหาอาหารบริเวณหน้าดินตื้นๆ การใช้กาบมะพร้าวใหญ่คลุมโคนหลักหนาๆ กว้างทั่วเขตทรงพุ่ม โรยทับด้วยอินทรีย์วัตถุ รากจะชอนไชอยู่กับกาบมะพร้าว ซึ่งนอกจากมีสาร อาหารมากแล้ว ยังมีอากาศถ่ายเทสะดวกอีกด้วย
* การใช้หลักสำหรับเกาะเป็นวัสดุอุ้มน้ำอย่างท่อคอนกรีตหรือท่อยิบซั่มระบาย น้ำขนาด 6 นิ้วปิดปลายท่อด้านล่าง ฝังลงดินแล้วใส่น้ำเปล่าหรือน้ำผสมธาตุอาหารลงไปในท่อให้เต็มอยู่เสมอ น้ำที่ค่อยๆซึมออกมาตามผิวท่อนอกจากช่วยสร้างความชุ่มชื้นแล้วยังเป็นสาร อาหารอีกด้วย
ข้อดีของหลักท่อระบายน้ำยิบซั่ม คือ น้ำสามารถซึมออกมตามผิวท่อได้ตลอดเวลา แต่มีข้อด้อยที่ไม่คงทน เมื่ออุ้มน้ำเป็นระยะเวลานานๆ (หลายปี) จะผุเปื่อยหรือไม่แข็งแรงจนเป็นเหตุให้หักล้มได้ ต่างจากเสาหลักไม้เนื้อแข็งแม้จะไม่มีน้ำซึมออกมาแต่ก็คงทนกว่าหลาย เท่า
การเติมน้ำใส่ลงไปในท่อทำได้แต่ช่วงแรกๆที่ต้นยังเล็ก ครั้นเมื่อต้นโตขึ้น แตกกิ่งก้านเต็มหัวเสาแล้วจะไม่สะดวกนักต่อการเติมน้ำลงไปในท่องต้องใช้ อุปกรณ์หรือเครื่องมือพิเศษเข้าช่วย
* วิธีสร้างหลักให้ส่วนที่อยู่เหนือพื้นดิน 1.20 ม. เป็นความสูงเหมาะที่สุด ยอดหลักมีไม้เนื้อแข็งทำเป็นสี่แฉกกากบาด เส้นผ่าศูนย์กลาง 1 ม. ปลายกากบาดมีไม้เนื้อแข็งยึดทั้งสี่ปลาย กากบาดหัวเสานี้ใช้เป็นค้างให้กิ่งแก้วมังกรพาดแล้วชี้ปลายลงก่อนออกดอกติด ผล
* เป็นพืชอายุยืนหลายสิบปี มีอัตราการเจริญเติบโตทางยาวเหมือนไม้ผลยืนต้นทั่วไปที่เจริญเติบโตทางสูง การใช้หลักที่เป็นวัสดุไม่คงทน ผุเปื่อยง่าย เมื่อต้นแก้วมังกรอายุมากขึ้นหรือทรงพุ่มหนา น้ำหนักมาก หลักอาจจะพังลงได้ การเลือกใช้หลักคอนกรีตตันประเภทเสารั้ว ขนาด 4 X 4 นิ้วหรือ 6 X 6 นิ้ว หรือเสาไม้เนื้อแข็งขนาดเดียวกันจะทนทานกว่า
* เมื่ออายุต้นมากๆ นอกจากมีน้ำหนักมากแล้วยังต้านลมอีกด้วยนั้น แนะนำให้ฝังหลักลึก 1-1.20 ม. หรือมากกว่าจะช่วยให้หลักตั้งอยู่ได้นานโดยไม่ล้มเสียก่อน ทั้งนี้ การบำรุงแก้วมังกรตามแนว อินทรีย์ชีวภาพ นำ - เคมีวิทยาศาสตร์ เสริม ประจำและสม่ำเสมอจะทำให้ดินโคนหลักอ่อนส่งผลให้หลักล้มได้ง่าย
* ต้นที่มีกิ่งน้อยๆ (30-50 เปอร์เซ็นต์) หัวหลักโปร่ง แสงแดดส่องทั่วทุกกิ่ง จะออกดอกติดผลดีกว่าต้นที่มีกิ่งมากๆจนหัวหลักแน่นทึบ แก้ไขด้วยการหมั่นตัดแต่งกิ่ง โดยตัดโคนกิ่งชิดหัวหลักและหมั่นตัดกิ่งแขนงที่งอกออกมาจากกิ่งประธานอยู่ เสมอ
กิ่งแขนงไม่ค่อยออกดอกติดผลหรือออกดอกติดผลได้น้อยกว่ากิ่งประธาน การเหลือกิ่งน้อยๆจนหัวหลักโปร่งนอกจากช่วยลดน้ำหนักที่หัวหลักแล้วยังทำให้ ลดการสูญเสียน้ำเลี้ยงอีกด้วย
* ต้นอายุมากๆหรือแก่จัด เริ่มให้ผลผลิตน้อยลง แก้ไขด้วยวิธี ตัดแต่งกิ่งแบบทำสาว โดยตัดทิ้งกิ่งส่วนที่อยู่เหนือค้างออกทั้งหมด หรือตัดต้นที่เสาต่ำกว่าค้างให้เหลือส่วนตอเกาะเสาหรือหลัก 1 ม. จากนั้นบำรุงเรียกกิ่ง(ใบ) อ่อนใหม่ เมื่อกิ่งอ่อนใหม่เจริญเติบโตขึ้นก็จะออกดอกติดผลเหมือนการปลูกด้วยต้นตอ ครั้งแรก
* เทคนิคการบำรุงแบบให้มีธาตุอาหารกินตลอด 24 ชม.ต่อเนื่องทั้งปีหรือหลายๆปีติดต่อกันโดยฝังซากสัตว์ (หอยเชอรี่ หัวปลา พุงปลา ซี่โครงไก่ กระดูกป่น) จะช่วยให้ต้นสมบูรณ์อยู่เสมอ
ซากสัตว์ผุเปื่อยใหม่ๆมีความเป็นกรดจัดมาก จึงไม่ควรฝังซากสัตว์ในระหว่างการพัฒนาของต้นช่วงสำคัญๆ (สะสมอาหาร-เปิดตาดอก-บำรุงดอก-บำรุงผล.) แต่ให้ฝังก่อนล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 3-6 เดือน เพื่อให้เวลาแก่จุลินทรีย์ได้สลายฤทธิ์ความเป็นกรดจัดของซากสัตว์สดๆที่ เริ่มผุเปื่อย จนกลายเป็นอินทรีย์สารที่พืชสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จึงจะได้ประโยชน์สูง สุดอย่างแท้จริง
การใช้ซากสัตว์ผ่านกระบวนการหมักจนเป็นปุ๋ยน้ำชีวภาพพร้อมใช้ และปรับค่ากรดด่างแล้วแทนการฝังซากสัตว์สดๆ จะได้ผลดีกว่า
* เทคนิคล่อรากด้วยการใช้กาบมะพร้าวคลุมโคนต้นหนา 20-30 ซม.ทั่วพื้นที่ทรงพุ่ม หว่านทับด้วยปุ๋ยคอกเสริมด้วยยิบซั่มธรรมชาติ กระดูกป่นและจุลินทรีย์ จะช่วยให้รากขึ้นมาหาอาหารบนกาบมะพร้าวที่มีอากาศถ่ายสะดวกส่งผลให้ต้น สมบูรณ์แข็งแรงดีกว่าการปล่อยรากเดินอิสระใต้ผิว ดิน
* ปุ๋ยคอก-ปุ๋ยอินทรีย์ที่เหมาะสำหรับแก้วมังกรอายุต้นให้ผลผลิตแล้วควรประกอบ ส่วน ดังนี้ “มูลวัวเนื้อ/วัวนม10 ส่วน, มูลไก่ไข่/ไก่เนื้อ/นกกระทา 3 ส่วน, มูลค้างคาว 1 ส่วน, ยิบซั่มธรรมชาติ 2 ส่วน, กระดูกป่น 1 ส่วน” คลุกเคล้าเข้ากันดีรวมเป็น 1 ส่วน นำมาผสมกับกาบมะพร้าวใหญ่ 1 ส่วน ใช้คลุมโคนหลัก
* ตอบสนองต่อมูลค้างคาวดีมาก ควรใส่มูลค้างคาวประจำ 1 กำมือ/ต้น/3 เดือน ด้วยการหว่านทั่วทรงพุ่มหรือละลายน้ำรด
* ต้องการให้แก้วมังกรที่เลื้อยขึ้นถึงค้างบนหัวเสาแล้วแตกยอดใหม่เร็วและ จำนวนมากๆ ให้ใช้หญ้าแห้งหรือฟางแห้งคลุมหัวเสาหนาๆ
* เริ่มห่อผลเมื่ออายุผล 15 วัน หรือ 2 สัปดาห์หลังกลีบดอกร่วง
* ตรวจสอบอาการอั้นตาดอกด้วยการใช้ปลายเล็บขูดผิวเปลือกบริเวณตุ่มตา (ใต้หนาม) ดูเนื้อในไต้เปลือก ถ้าเนื้อในใต้หนามเป็นสีเหลืองอมน้ำตาลแสดงว่าอั้นตาดอกดี เมื่อเปิดตาดอกจะออกเป็นดอก แต่ถ้าเนื้อในใต้หนามเป็นเขียวแสดงว่ายังอั้นตาดอกไม่ดี เปิดตาดอกไม่ออก
* ห่อผลแก้วมังกรด้วยถุงใยสังเคราะห์จะช่วยรักษาผิวและสีเปลือกได้ดีกว่าถุงห่ออย่างอื่น
* อายุผลครบกำหนดเก็บเกี่ยวหรือ 30 วันหลังกลีบดอกร่วง สีเปลือกแดงดีแล้วสามารถปล่อยฝากต้นต่อไปได้อีก15 วัน โดยสีเปลือกที่เคยแดงเข้มจะลดลงมาเป็นแดงอมชมพู แต่ขนาดผลจะใหญ่ขึ้นรส ชาติและน้ำหนักดีขึ้นไปอีก
* ช่วงที่ผลกำลังพัฒนาแล้วมีฝนตกชุก ให้บำรุงด้วย "ธาตุรอง/ธาตุเสริม" ถี่ขึ้นระดับวันเว้นวันจนถึงเก็บเกี่ยวจะช่วยให้คุณภาพผลดี รสหวาน เนื้อแน่น เปลือกบาง แต่ถ้าบำรุงด้วยธาตุรอง/ธาตุเสริมไม่ถึงจะทำให้รสเปรี้ยวหรือจืดชืด เนื้อเหลว เปลือกหนา
* ช่วงผลแก่ใกล้เก็บเกี่ยวแล้วมีฝนตกชุก สีเปลือกจะไม่แดงแต่ยังคงเขียว ให้บำรุงด้วยธาตุรอง/ธาตุเสริมถี่ๆ ระดับวันเว้นวันต่อไป จนกระทั่งครบกำหนดวันเก็บซึ่งสีเปลือกยังเขียวอยู่ เก็บมาแล้วปล่อยทิ้งให้ลืมต้น 2-3 วัน สีเปลือกจะเปลี่ยนจารเขียวเป็นแดงเอง ส่วนรสชาติก็จะยังคงดีเหมือนเดิม
* ผลแก้วมังกรที่ได้รับธาตุรอง/ธาตุเสริมเต็มที่ เมื่อแกะผลด้วยมือ (ไม่ใช้มีดผ่า) เนื้อจะจับเหมือนวุ้นก้อนเล็กๆรสชาติดีมาก
* ยืดอายุผลหลังเก็บเกี่ยวโดยเก็บรักษาที่อุณหภูมิ 5 องสาเซลเซียส. ออกซิเจนผ่านได้ 4 ล./ตร.ม./ชม.จะสดอยู่ได้นาน 30-35 วัน
* กลีบดอกสดใหม่ปรุงอาหารประเภทยำหรือผัดน้ำมันหอยรสชาติอร่อยดี
สายพันธุ์
พันธุ์แม็กซิโก : ผลเล็ก เนื้อขาว เปลือกเหลือง ขนาดผลเท่ามะระขี้นกผลใหญ่
พันธุ์ไต้หวัน : เนื้อแดง เปลือกแดง ขนาดผลเท่าพันธุ์ไทย
พันธุ์เวียดนาม : ผลใหญ่ เนื้อขาวครีม เปลือกแดงอมชมพู รสหวานจัด กลีบใหญ่และห่าง
พันธุ์ไทย : ผลเล็กกว่าพันธุ์เวียดนาม เนื้อขาวครีม เปลือกแดงอมชมพู รสหวานอมเปรี้ยว กลีบเล็กและ
ถี่กว่าพันธุ์เวียดนาม
หมายเหตุ :
- แก้วมังกรมีทั้งสายพันธุ์ดอก (ดอกมากแต่ไม่ติดผลหรือติดผลน้อย) พันธุ์ผลดก และพันธุ์ผลไม่ดก การเลือกซื้อกิ่งพันธุ์ต้องตรวจสอบชนิดของสายพันธุ์ให้แน่นอนเสียก่อน เสมอ
- ปัจจุบันได้มีผู้นำสายพันธุ์ใหม่ๆจากต่างประเทศเข้ามามากมาย การที่จะระบุว่าสายพันธุ์ไหนดีหรือไม่ดีนั้นผู้บริโภค คือ ผู้ตัดสิน เพราะฉะนั้นก่อนตัดสินใจปลูกแก้วมังกรสายพันธุ์ใหม่ที่ผู้บริโภคยังไม่ รู้จักจะต้องคิดให้รอบคอบก่อนเสมอ
การขยายพันธุ์
ชำกิ่งในถุง :
เลือกกิ่งแก่จัดตัดเป็นท่อนยาว 30-50 ซม. ถ้าเป็นกิ่งช่วงปลายให้ตัดปลายยอดทิ้ง นำด้านโคนกิ่งลงจุ่มแช่ในฮอร์โมนไคตินไคโตซาน 20-30 นาที นำขึ้นผึ่งลม ทาแผลรอยตัดด้วยปูนกินหมาก ทิ้งให้ปูนแห้งแล้วจึงนำไปปักในถุงแกลบดำอัดแน่นลึก 5-6 นิ้ว มีไม้หลักปักยึดป้องกันต้นโยก เก็บในเรือนเพาะชำ ให้น้ำสม่ำเสมอ ประมาณ 20 วันเมื่อรากเริ่มงอกก็จะมียอดแตกออกมาจากข้อ บำรุงเลี้ยงจนยอดแตกใหม่โตสมบูรณ์เต็มที่หรือรากบางส่วนแทงออกมานอกถุงแล้ว จึงนำไปปลูกในแปลงจริง ต้นที่ปลูกจากกิ่งชำไม่กลายพันธุ์ โตเร็วและให้ผลผลิตเร็ว......ถ้าใช้ยอดอ่อน กิ่งอ่อน กิ่งแก่ยาวน้อยกว่า 20 ซม. นำไปชำแล้วมักไม่ออกรากแต่จะเน่าตายไปเลย
ชำกิ่งในแปลงปลูก :
เลือกกิ่งแก่ขนาดยาว 50-120 ซม. ปักลงดินที่โคนหลักปลูกในแปลงจริงโดยหันด้านแบนของกิ่งแนบชิดหลัก รัดด้วยเชือกพอหลวม 2-3 เปราะ ปักกิ่งลึก 5-10 ซม.หรือให้ข้อจมดิน 2-3 ข้อ กลบดินโคนกิ่งให้แน่น ใช้เศษหญ้าหรือฟางคุมหน้าดินและคุมทับกิ่งที่ปักชำเพื่อบังแสงแดด หลังจากปักกิ่งลงไปแล้วให้น้ำพอหน้าดินชื้นอยู่เสมอและระวังอย่าให้น้ำขัง ค้างจนดินโคนต้นแฉะเกินไป ประมาณ 15-20 วันกิ่งชำเริ่มแทงรากจากนั้นก็จะแทงยอด
ตอน :
เลือกกิ่งแก่ กิ่งชี้ขึ้นดีกว่ากิ่งชี้ลง ใช้มีดคมๆเฉือนกิ่งบริเวณใต้ตาเฉียงลง 45 องศา ลึกถึงแกนในทั้งสามด้าน แกะเปลือกกับเนื้อออกจนเหลือแต่แกนใน ขูดเยื่อเจริญรอบแกนเหมือนการตอนกิ่งไม้ผลยืนต้นทั่วๆไป ทาแผลด้วยฮอร์โมนเร่งราก (ทำเอง) จากนั้นจึงหุ้มด้วยตุ้มตอนขุยมะพร้าวตามปกติ บำรุงไปเรื่อยๆประมาณ 20-30 วันก็จะมีรากออกมา เมื่อเห็นว่ามีรากมากพอจึงตัดลงมาชำในถุงดำต่อไป
หักกิ่ง :
เลือกกิ่งกลางอ่อนกลางแก่หรือกิ่งแก่จัดอยู่ใกล้ๆวัสดุที่รากสามารถยึดเกาะ ได้ หักกิ่งให้เหลี่ยมฉีก 1 ด้านแล้วปล่อยไว้อย่างนั้นจะมีรากแทงออกมาจากรอยหักของกิ่ง เมื่อมีรากแล้วให้ตัดลงมาชำในถุงดำต่อไป
เพาะเมล็ด :
เลือกผลแก่จัด ขยำเมล็ดแยกจากเนื้อ นำเมล็ดผึ่งลมให้แห้ง ทิ้งไว้ 2-5 วันเพื่อพักตัวแล้วนำลงแช่ในไคตินไคโตซานนาน 12 ชม. นำขึ้นผึ่งลมให้แห้งอีกครั้งจึงนำไปเพาะในกระบะเพาะเมล็ดธรรมดา กล้างอกขึ้นมาแล้วบำรุงเลี้ยงตามปกติและเมื่อต้นกล้าโตดีแล้วก็ให้ย้ายลง ปลูกในแปลงจริงต่อไป ต้นที่เกิดจากการเพาะเมื่อโตขึ้นจะกลายพันธุ์
ระยะปลูก
ระยะปกติ :
- ปลูกแบบแถวเดี่ยวขวางตะวัน ระยะห่างระหว่างต้น (หลัก) และระหว่างแถว 4 X 4 ม. หรือ 4 X 6 ม.
ปลูกแบบนี้ทำให้ทุกหลักได้รับแสงอาทิตย์เท่าๆกัน
- ปลูกแบบแถวคู่ขวางตะวัน ระยะห่างระหว่างแถว 4 ม. ระยะห่างระหว่างต้น (หลัก) 2 ม. สลับฟันปลาเพื่อ
ให้ทุกหลักได้รับแสงอาทิตย์
- ความสูงของหลักส่วนที่อยู่ดินสูง 1.20-1.50 ม.
ระยะชิด :
- 2 X 2 ม. หรือ 2 X 4 ม. แถวเดี่ยวหรือแถวคู่
- หลักสูง 80-100 ซม.
(เกษตรกรไต้หวันปลูกแก้วมังกรหลักสูง 50 ซม. ระยะห่าง 1 X 1 ม.)
เตรียมดินและอินทรีย์วัตถุ
- ใส่ปุ๋ยคอก (มูลวัวเนื้อ/นม + มูลไก่ไข่/เนื้อ/นกกระทา (แห้งเก่าข้ามปี) ปีละ 2 ครั้ง
- ให้ยิบซั่มธรรมชาติ ปีละ 2 ครั้ง
- ให้กระดูกป่น ปีละ 1 ครั้ง
- คลุมโคนต้นด้วยเศษพืชแห้งหนาๆเต็มพื้นที่บริเวณทรงพุ่ม ล้ำออกไปถึงนอกเขตทรงพุ่ม
- ให้ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง หรือจุลินทรีย์ 1-2 เดือน/ครั้ง
หมายเหตุ :
- การฝังซากสัตว์ เช่น หอยเชอรี่ ปลาสด เป็นชิ้นเท่าลูกมะนาวหรือบดละเอียด ที่ชายเขตทรงพุ่ม 4-5 หลุม/
ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม. ฝังปีเว้นปี เพื่อให้ต้นมีสารอาหารกินตลอด 24 ชม. ต่อเนื่องหลายๆปีจะทำให้ต้นมีความ
สมบูรณ์สูงพร้อมต่อการบำรุงทุกขั้นตอน
- ให้ปุ๋ยน้ำชีวภาพ (ทางใบ-ทางราก) บ่อยเกินไปจะทำให้ต้นหยุดการเจริญเติบโต ไม่แตกใบอ่อน ผลหยุดขยาย
ขนาดแล้วกลายเป็นผลแก่ การให้ทางใบอาจเป็นแหล่งอาศัยและแพร่ระบาดของเชื้อราได้
เตรียมต้น
ตัดแต่งกิ่ง :
- ใช้กรรไกตัดกิ่ง (ดัดแปลงพิเศษ) มีด้ามจับหรือใบกรรไกยาวๆ ตัดกิ่งให้ชิดหัวหลัก
- กิ่งเก่าอายุมากหลายปีหรือกิ่งเคยให้ดอกผลมาแล้วหลายรุ่นให้ตัดออก ทั้งนี้ธรรมชาติของแก้วมังกรจะออกดอกติดผลจากกิ่งแตกใหม่ในปีนั้นดีและดก กว่ากิ่งแก่เก่าข้ามปี และกิ่งใหม่ที่ออกในปีนั้นเลี้ยงดอกและผลได้ดีกว่ากิ่งแก่อายุหลาย ปี
- กิ่งใหม่แต่เป็นกิ่งคดงด กิ่งเรียวเล็ก กิ่งมีโรค ให้ตัดออก
- ตัดกิ่งบังแสงแดดต่อกิ่งอื่นออก ทำให้ทรงพุ่มบริเวณหัวหลักโปร่งจนแสงแดดส่องได้ทั่วถึงทุกกิ่ง กิ่งได้รับแสงแดดจะสมบูรณ์ดีกว่ากิ่งไม่ได้รับแสงแดด หรือได้รับแสงแดดน้อย
- การตัดแต่งกิ่งให้ตัดที่โคนกิ่งชิดหัวหลักเพื่อให้พื้นที่บริเวณหัวหลักโปร่ง ทำให้ไม่สะสมโรคและแมลง
- เลือกเก็บกิ่งแขนงที่แตกแยกออกมาจากกิ่งประธาน 2-3 กิ่ง ระยะห่างกันมากๆไว้ ส่วนกิ่งแขนงอื่นๆโดยเฉพาะกิ่งที่อยู่ชิดกันเกินไปให้ตัด ออก
- ต้นที่มีกิ่งน้อย (1 หลักมีกิ่ง 10-15 กิ่ง) ให้ผลผลิตดกและดีกว่าต้นที่มีกิ่งมากๆจนแน่นทึบ (เฝือใบ) และกิ่งมากทำให้น้ำน้ำหนักมากอาจทำให้หลักล้มได้อีก ด้วย
- นิสัยการออกดอกของแก้วมังกรไม่จำเป็นต้องกระทบหนาว แต่ถ้าตัดแต่งกิ่ง-เรียกใบอ่อนช่วงต้นฝนแล้วเข้าสู่ขั้นตอนการบำรุงต่อไปตาม ลำดับอย่างถูกต้องสม่ำเสมอจะทำให้ต้นมีความสมบูรณ์ดีกว่าการตัดแต่งกิ่งใน ช่วงอื่น
- ต้นอายุมาก (3-5 ปี ขึ้นไป) กิ่งบนหัวหลักเป็นกิ่งแก่แน่นทึบ นอกจากจะน้ำหนักมากจนทำให้หลักล้มได้แล้ว ยังเป็นกิ่งที่ไม่เหมาะสมต่อการออกดอกติดผลอีกด้วย แก้ไขโดยการตัดแต่งเฉพาะกิ่งที่แก่จัดจริงๆออกทิ้งในการปฏัติจริงค่อนข้าง ยากเพราะแต่ละกิ่งจะประสานกันแน่นมากจนแยกไม่ออกว่ากิ่งไหนเป็นกิ่งไหน กอร์ปกับ กิ่งแก้วมังกรมีหนามสร้างความยุ่งยากในการทำงานอย่างมาก ส่วนใหญ่เจ้าของสวนจะเลือกวิธี ตัดกิ่งหัวเสาทิ้งทั้งหมดหรือตัดตามความสะดวก ตัดออกให้มากที่สุดเท่าที่สะดวก (ตัดแต่งแบบทำสาว) แล้วบำรุงเรียกยอด (กิ่ง)ใหม่ ซึ่งการบำรุงเรียกยอดใหม่หลังตัดแต่งแบบทำสาวนี้ ถ้าบำรุงเรียกยอดใหม่ไม่ถึงหรือไม่เต็มที่จริงๆ แก้วมังการหลักนั้นจะแตกยอดใหม่ไม่พร้อมกัน ส่งผลให้การออกดอกติดผลในรุ่นปีการผลิตต่อมาไม่ดี ต้องบำรุงเลี้ยงแก้วมังการหลักนั้นต่ออีก 1 ปี จึงจะเข้ารูปแบบเดิมได้
ตัดแต่งราก :
- ต้นที่อายุยังน้อยไม่ควรตัดแต่งรากแต่ถ้าต้องการสร้างรากใหม่มีประสิทธิภาพ ในการหาอาหารดียิ่งขึ้นควรใช้วิธีล่อรากด้วยการพูนโคนต้นด้วยดิน 3 ส่วนกับอินทรีย์วัตถุ 1 ส่วน
- ต้นอายุหลายปี ระบบรากเก่าและแก่มาก ให้พิจารณาตัดแต่งรากส่วนปลายออก 1 ใน 4 ด้วยการพรวนดินรอบทรงพุ่มลึก 10-15 ซม. หลังจากให้ฮอร์โมนบำรุงรากไปแล้วต้นจะแตกรากใหม่จำนวนมากขึ้นและมี ประสิทธิภาพในการดูดซับสารอาหารได้ดีกว่าเดิม
- ตัดแต่งได้ทั้งรากในดินและรากที่เกาะหลัก
ขั้นตอนการปฏิบัติบำรุงต่อแก้วมังกรพันธุ์แม็กซิโก : ผลเล็ก เนื้อขาว เปลือกเหลือง ขนาดผลเท่ามะระขี้นกผลใหญ่
พันธุ์ไต้หวัน : เนื้อแดง เปลือกแดง ขนาดผลเท่าพันธุ์ไทย
พันธุ์เวียดนาม : ผลใหญ่ เนื้อขาวครีม เปลือกแดงอมชมพู รสหวานจัด กลีบใหญ่และห่าง
พันธุ์ไทย : ผลเล็กกว่าพันธุ์เวียดนาม เนื้อขาวครีม เปลือกแดงอมชมพู รสหวานอมเปรี้ยว กลีบเล็กและ
ถี่กว่าพันธุ์เวียดนาม
หมายเหตุ :
- แก้วมังกรมีทั้งสายพันธุ์ดอก (ดอกมากแต่ไม่ติดผลหรือติดผลน้อย) พันธุ์ผลดก และพันธุ์ผลไม่ดก การเลือกซื้อกิ่งพันธุ์ต้องตรวจสอบชนิดของสายพันธุ์ให้แน่นอนเสียก่อน เสมอ
- ปัจจุบันได้มีผู้นำสายพันธุ์ใหม่ๆจากต่างประเทศเข้ามามากมาย การที่จะระบุว่าสายพันธุ์ไหนดีหรือไม่ดีนั้นผู้บริโภค คือ ผู้ตัดสิน เพราะฉะนั้นก่อนตัดสินใจปลูกแก้วมังกรสายพันธุ์ใหม่ที่ผู้บริโภคยังไม่ รู้จักจะต้องคิดให้รอบคอบก่อนเสมอ
การขยายพันธุ์
ชำกิ่งในถุง :
เลือกกิ่งแก่จัดตัดเป็นท่อนยาว 30-50 ซม. ถ้าเป็นกิ่งช่วงปลายให้ตัดปลายยอดทิ้ง นำด้านโคนกิ่งลงจุ่มแช่ในฮอร์โมนไคตินไคโตซาน 20-30 นาที นำขึ้นผึ่งลม ทาแผลรอยตัดด้วยปูนกินหมาก ทิ้งให้ปูนแห้งแล้วจึงนำไปปักในถุงแกลบดำอัดแน่นลึก 5-6 นิ้ว มีไม้หลักปักยึดป้องกันต้นโยก เก็บในเรือนเพาะชำ ให้น้ำสม่ำเสมอ ประมาณ 20 วันเมื่อรากเริ่มงอกก็จะมียอดแตกออกมาจากข้อ บำรุงเลี้ยงจนยอดแตกใหม่โตสมบูรณ์เต็มที่หรือรากบางส่วนแทงออกมานอกถุงแล้ว จึงนำไปปลูกในแปลงจริง ต้นที่ปลูกจากกิ่งชำไม่กลายพันธุ์ โตเร็วและให้ผลผลิตเร็ว......ถ้าใช้ยอดอ่อน กิ่งอ่อน กิ่งแก่ยาวน้อยกว่า 20 ซม. นำไปชำแล้วมักไม่ออกรากแต่จะเน่าตายไปเลย
ชำกิ่งในแปลงปลูก :
เลือกกิ่งแก่ขนาดยาว 50-120 ซม. ปักลงดินที่โคนหลักปลูกในแปลงจริงโดยหันด้านแบนของกิ่งแนบชิดหลัก รัดด้วยเชือกพอหลวม 2-3 เปราะ ปักกิ่งลึก 5-10 ซม.หรือให้ข้อจมดิน 2-3 ข้อ กลบดินโคนกิ่งให้แน่น ใช้เศษหญ้าหรือฟางคุมหน้าดินและคุมทับกิ่งที่ปักชำเพื่อบังแสงแดด หลังจากปักกิ่งลงไปแล้วให้น้ำพอหน้าดินชื้นอยู่เสมอและระวังอย่าให้น้ำขัง ค้างจนดินโคนต้นแฉะเกินไป ประมาณ 15-20 วันกิ่งชำเริ่มแทงรากจากนั้นก็จะแทงยอด
ตอน :
เลือกกิ่งแก่ กิ่งชี้ขึ้นดีกว่ากิ่งชี้ลง ใช้มีดคมๆเฉือนกิ่งบริเวณใต้ตาเฉียงลง 45 องศา ลึกถึงแกนในทั้งสามด้าน แกะเปลือกกับเนื้อออกจนเหลือแต่แกนใน ขูดเยื่อเจริญรอบแกนเหมือนการตอนกิ่งไม้ผลยืนต้นทั่วๆไป ทาแผลด้วยฮอร์โมนเร่งราก (ทำเอง) จากนั้นจึงหุ้มด้วยตุ้มตอนขุยมะพร้าวตามปกติ บำรุงไปเรื่อยๆประมาณ 20-30 วันก็จะมีรากออกมา เมื่อเห็นว่ามีรากมากพอจึงตัดลงมาชำในถุงดำต่อไป
หักกิ่ง :
เลือกกิ่งกลางอ่อนกลางแก่หรือกิ่งแก่จัดอยู่ใกล้ๆวัสดุที่รากสามารถยึดเกาะ ได้ หักกิ่งให้เหลี่ยมฉีก 1 ด้านแล้วปล่อยไว้อย่างนั้นจะมีรากแทงออกมาจากรอยหักของกิ่ง เมื่อมีรากแล้วให้ตัดลงมาชำในถุงดำต่อไป
เพาะเมล็ด :
เลือกผลแก่จัด ขยำเมล็ดแยกจากเนื้อ นำเมล็ดผึ่งลมให้แห้ง ทิ้งไว้ 2-5 วันเพื่อพักตัวแล้วนำลงแช่ในไคตินไคโตซานนาน 12 ชม. นำขึ้นผึ่งลมให้แห้งอีกครั้งจึงนำไปเพาะในกระบะเพาะเมล็ดธรรมดา กล้างอกขึ้นมาแล้วบำรุงเลี้ยงตามปกติและเมื่อต้นกล้าโตดีแล้วก็ให้ย้ายลง ปลูกในแปลงจริงต่อไป ต้นที่เกิดจากการเพาะเมื่อโตขึ้นจะกลายพันธุ์
ระยะปลูก
ระยะปกติ :
- ปลูกแบบแถวเดี่ยวขวางตะวัน ระยะห่างระหว่างต้น (หลัก) และระหว่างแถว 4 X 4 ม. หรือ 4 X 6 ม.
ปลูกแบบนี้ทำให้ทุกหลักได้รับแสงอาทิตย์เท่าๆกัน
- ปลูกแบบแถวคู่ขวางตะวัน ระยะห่างระหว่างแถว 4 ม. ระยะห่างระหว่างต้น (หลัก) 2 ม. สลับฟันปลาเพื่อ
ให้ทุกหลักได้รับแสงอาทิตย์
- ความสูงของหลักส่วนที่อยู่ดินสูง 1.20-1.50 ม.
ระยะชิด :
- 2 X 2 ม. หรือ 2 X 4 ม. แถวเดี่ยวหรือแถวคู่
- หลักสูง 80-100 ซม.
(เกษตรกรไต้หวันปลูกแก้วมังกรหลักสูง 50 ซม. ระยะห่าง 1 X 1 ม.)
เตรียมดินและอินทรีย์วัตถุ
- ใส่ปุ๋ยคอก (มูลวัวเนื้อ/นม + มูลไก่ไข่/เนื้อ/นกกระทา (แห้งเก่าข้ามปี) ปีละ 2 ครั้ง
- ให้ยิบซั่มธรรมชาติ ปีละ 2 ครั้ง
- ให้กระดูกป่น ปีละ 1 ครั้ง
- คลุมโคนต้นด้วยเศษพืชแห้งหนาๆเต็มพื้นที่บริเวณทรงพุ่ม ล้ำออกไปถึงนอกเขตทรงพุ่ม
- ให้ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง หรือจุลินทรีย์ 1-2 เดือน/ครั้ง
หมายเหตุ :
- การฝังซากสัตว์ เช่น หอยเชอรี่ ปลาสด เป็นชิ้นเท่าลูกมะนาวหรือบดละเอียด ที่ชายเขตทรงพุ่ม 4-5 หลุม/
ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม. ฝังปีเว้นปี เพื่อให้ต้นมีสารอาหารกินตลอด 24 ชม. ต่อเนื่องหลายๆปีจะทำให้ต้นมีความ
สมบูรณ์สูงพร้อมต่อการบำรุงทุกขั้นตอน
- ให้ปุ๋ยน้ำชีวภาพ (ทางใบ-ทางราก) บ่อยเกินไปจะทำให้ต้นหยุดการเจริญเติบโต ไม่แตกใบอ่อน ผลหยุดขยาย
ขนาดแล้วกลายเป็นผลแก่ การให้ทางใบอาจเป็นแหล่งอาศัยและแพร่ระบาดของเชื้อราได้
เตรียมต้น
ตัดแต่งกิ่ง :
- ใช้กรรไกตัดกิ่ง (ดัดแปลงพิเศษ) มีด้ามจับหรือใบกรรไกยาวๆ ตัดกิ่งให้ชิดหัวหลัก
- กิ่งเก่าอายุมากหลายปีหรือกิ่งเคยให้ดอกผลมาแล้วหลายรุ่นให้ตัดออก ทั้งนี้ธรรมชาติของแก้วมังกรจะออกดอกติดผลจากกิ่งแตกใหม่ในปีนั้นดีและดก กว่ากิ่งแก่เก่าข้ามปี และกิ่งใหม่ที่ออกในปีนั้นเลี้ยงดอกและผลได้ดีกว่ากิ่งแก่อายุหลาย ปี
- กิ่งใหม่แต่เป็นกิ่งคดงด กิ่งเรียวเล็ก กิ่งมีโรค ให้ตัดออก
- ตัดกิ่งบังแสงแดดต่อกิ่งอื่นออก ทำให้ทรงพุ่มบริเวณหัวหลักโปร่งจนแสงแดดส่องได้ทั่วถึงทุกกิ่ง กิ่งได้รับแสงแดดจะสมบูรณ์ดีกว่ากิ่งไม่ได้รับแสงแดด หรือได้รับแสงแดดน้อย
- การตัดแต่งกิ่งให้ตัดที่โคนกิ่งชิดหัวหลักเพื่อให้พื้นที่บริเวณหัวหลักโปร่ง ทำให้ไม่สะสมโรคและแมลง
- เลือกเก็บกิ่งแขนงที่แตกแยกออกมาจากกิ่งประธาน 2-3 กิ่ง ระยะห่างกันมากๆไว้ ส่วนกิ่งแขนงอื่นๆโดยเฉพาะกิ่งที่อยู่ชิดกันเกินไปให้ตัด ออก
- ต้นที่มีกิ่งน้อย (1 หลักมีกิ่ง 10-15 กิ่ง) ให้ผลผลิตดกและดีกว่าต้นที่มีกิ่งมากๆจนแน่นทึบ (เฝือใบ) และกิ่งมากทำให้น้ำน้ำหนักมากอาจทำให้หลักล้มได้อีก ด้วย
- นิสัยการออกดอกของแก้วมังกรไม่จำเป็นต้องกระทบหนาว แต่ถ้าตัดแต่งกิ่ง-เรียกใบอ่อนช่วงต้นฝนแล้วเข้าสู่ขั้นตอนการบำรุงต่อไปตาม ลำดับอย่างถูกต้องสม่ำเสมอจะทำให้ต้นมีความสมบูรณ์ดีกว่าการตัดแต่งกิ่งใน ช่วงอื่น
- ต้นอายุมาก (3-5 ปี ขึ้นไป) กิ่งบนหัวหลักเป็นกิ่งแก่แน่นทึบ นอกจากจะน้ำหนักมากจนทำให้หลักล้มได้แล้ว ยังเป็นกิ่งที่ไม่เหมาะสมต่อการออกดอกติดผลอีกด้วย แก้ไขโดยการตัดแต่งเฉพาะกิ่งที่แก่จัดจริงๆออกทิ้งในการปฏัติจริงค่อนข้าง ยากเพราะแต่ละกิ่งจะประสานกันแน่นมากจนแยกไม่ออกว่ากิ่งไหนเป็นกิ่งไหน กอร์ปกับ กิ่งแก้วมังกรมีหนามสร้างความยุ่งยากในการทำงานอย่างมาก ส่วนใหญ่เจ้าของสวนจะเลือกวิธี ตัดกิ่งหัวเสาทิ้งทั้งหมดหรือตัดตามความสะดวก ตัดออกให้มากที่สุดเท่าที่สะดวก (ตัดแต่งแบบทำสาว) แล้วบำรุงเรียกยอด (กิ่ง)ใหม่ ซึ่งการบำรุงเรียกยอดใหม่หลังตัดแต่งแบบทำสาวนี้ ถ้าบำรุงเรียกยอดใหม่ไม่ถึงหรือไม่เต็มที่จริงๆ แก้วมังการหลักนั้นจะแตกยอดใหม่ไม่พร้อมกัน ส่งผลให้การออกดอกติดผลในรุ่นปีการผลิตต่อมาไม่ดี ต้องบำรุงเลี้ยงแก้วมังการหลักนั้นต่ออีก 1 ปี จึงจะเข้ารูปแบบเดิมได้
ตัดแต่งราก :
- ต้นที่อายุยังน้อยไม่ควรตัดแต่งรากแต่ถ้าต้องการสร้างรากใหม่มีประสิทธิภาพ ในการหาอาหารดียิ่งขึ้นควรใช้วิธีล่อรากด้วยการพูนโคนต้นด้วยดิน 3 ส่วนกับอินทรีย์วัตถุ 1 ส่วน
- ต้นอายุหลายปี ระบบรากเก่าและแก่มาก ให้พิจารณาตัดแต่งรากส่วนปลายออก 1 ใน 4 ด้วยการพรวนดินรอบทรงพุ่มลึก 10-15 ซม. หลังจากให้ฮอร์โมนบำรุงรากไปแล้วต้นจะแตกรากใหม่จำนวนมากขึ้นและมี ประสิทธิภาพในการดูดซับสารอาหารได้ดีกว่าเดิม
- ตัดแต่งได้ทั้งรากในดินและรากที่เกาะหลัก
1. เรียกกิ่งอ่อน
ทางใบ :
- ให้น้ำ 100 ล. + 25-5-5 (400 กรัม) หรือ 46-0-0 (400กรัม) สูตรใดสูตรหนึ่ง + จิ๊บเบอเรลลิน 10 กรัม + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี. + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. ฉีดพ่นพอเปียกใบ ทุก 5-7 วัน
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร ทุก 2-3 วัน
ทางราก :
- ให้น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง + 25-7-7 (½ กก.)/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม./เดือน
- ให้น้ำปกติ ทุก 2-3 วัน
หมายเหตุ :
- เริ่มปฏิบัติหลังจากตัดแต่งกิ่ง
- แก้วมังกรเรียกใบอ่อน (ยอด) ชุดเดียวก็พอ
- ขั้นตอนการเรียกิ่งอ่อนชุดใหม่นี้สำคัญมาก กล่าวคือ ถ้ากิ่งอ่อนชุดใหม่ในต้น (หลัก) เดียวกันออกไม่พร้อมกันทั้งต้น จะทำให้การออกดอกไม่พร้อมกัน หรือออกไม่เป็นชุด หรือออกแบบทยอยเป็นชุดเล็กชุดน้อย ส่งผลให้ยากต่อการบำรุงเป็นอย่างมาก แนวทางแก้ไข คือ ต้องบำรุงเตรียมต้นตั้งแต่ก่อนตัดแต่งกิ่งให้สมบูรณ์จริงๆไว้ล่วงหน้าเท่า นั้น
- หลังจากให้ทางใบไปแล้ว 5-7 วัน ถ้าต้นใดแตกกิ่งอ่อนดีน้อยกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ให้ฉีดพ่นซ้ำรอบสองด้วยอัตราและวิธีการเดิม เพราะถ้าต้นแตกกิ่งอ่อนไม่พร้อมกันทั่วทั้งต้นจะส่งผลเสียหลายอย่างตั้งแต่ การเร่งกิ่งอ่อนเป็นกิ่งแก่ การสะสมอาหารเพื่อการออก การปรับ ซี/เอ็น เรโช. การเปิดตาดอก ซึ่งจะออกดอกไม่พร้อมกันทั่วทั้งต้น และเมื่อดอกออกไม่พร้อมกันก็กลายเป็นผลไม่พร้อมกัน ทำให้ยุ่งยากต่อการปฏิบัติบำรุงตามขั้นตอนอย่างมาก......แก้ไขโดยต้องบำรุง เรียกกิ่งอ่อนให้ออกมาเป็นชุดเดียวพร้อมกันทั้งต้นให้ได้
- เมื่อใบอ่อน (ยอด) ยาวประมาณ 30-50 ซม.ให้เข้าสู่ขั้นตอนเร่งใบอ่อนให้เป็นใบแก่
2. เร่งกิ่งอ่อนเป็นใบแก่
ทางใบ :
- ให้น้ำ 100 ล. + 0-21-74 (400 กรัม) หรือ 0-39-39 (400 กรัม) สูตรใดสูตรหนึ่ง) + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี. + ฮอร์โมนไข่ 50 ซีซี. + แคลเซียม โบรอน 100 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. ฉีดพ่นพอเปียกใบ 2 รอบ ห่างกันรอบละ 5-7 วัน
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร ทุก 2-3 วัน
ทางราก :
- ให้ 8-24-24 (1/2-1 กก.)/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม.
- ให้น้ำปกติ ทุก 2-3 วัน
หมายเหตุ :
- เริ่มปฏิบัติเมื่อกิ่งที่ต้องการให้ออกดอกยาวประมาณ 30 ซม.
- ขั้นตอนการเร่งกิ่งอ่อนเป็นกิ่งแก่ในแก้วมังกรไม่จำเป็นนัก การปฏิบัติต้องระวังเพราะอาจจะทำให้กิ่งนั้นกลายเป็นกิ่งสั้นแต่แก่จัด แม้ออกดอกติดผลได้แต่ได้จำนวนดอกและผลไม่มาก
- สารอาหารในกลุ่มเร่งใบอ่อนเป็นใบแก่ซึ่งมีฟอสฟอรัส.และโปแตสเซียม. นอกจากช่วยเร่งใบให้เป็นใบแก่แล้วยังช่วยเสริมประสิทธิภาพขั้นตอนสะสมอาหาร เพื่อการออกดอกได้ด้วย
- กิ่งหางหนูเรียวเล็กยาวหรือกิ่งปกติแต่ค่อนข้างยาว ถ้าต้องการให้กิ่งนั้นแก่และไม่ยาวต่อไปอีกให้เด็ดปลาย 2-3ข้อทิ้งไป กิ่งนั้นจะไม่เจริญทางยาวแต่เจริญทางข้างจนกลายเป็นกิ่งใหญ่ ได้
3. สะสมอาหารเพื่อการออกดอก
ทางใบ :
สูตร 1
- ให้น้ำ 100 ล. + 0-42-56 (400 กรัม) + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี. + แคลเซียม โบรอน 100 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี.
สูตร 2
- ให้น้ำ 100 ล. + ฮอร์โมนไข่ 50 ซีซี.+ แคลเซียม โบรอน 100 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. ในรอบ 7 วันให้สูตร 1 สลับกับสูตร 2 อย่างละครั้ง ฉีดพ่นพอเปียกใบติดต่อกันอย่างน้อย 1 เดือน
ทางราก :
- ให้ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง + 8-24-24 หรือ 9-26-26 (½-1 กก.)/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม./เดือน
- ให้น้ำปกติ ทุก 2-3 วัน
หมายเหตุ :
- เริ่มปฏิบัติเมื่อกิ่งที่ต้องการให้ออกดอกติดผลยาวประมาณ 50-80 ซม.
- ปริมาณการให้ 8-24-24 หรือ 9-26-26 มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณการติดผลรุ่นที่ผ่านมา ถ้ารุ่นที่ผ่านมาติดผลดกมากให้ใส่ตามอัตรากำหนดหรือใส่มากขึ้น ถ้ารุ่นที่ผ่านมาติดผลน้อยหรือไม่ติดเลยให้ใส่ต่ำกว่าอัตรากำหนดหรือใส่ ปานกลาง
- แนวทางบำรุงให้ต้นได้สะสมอาหารเพื่อการออกดอกไว้มากที่สุดควรเตรียมแผนใช้เวลาบำรุง 2-2 เดือนครึ่ง
- ปริมาณสารอาหารเพื่อการสะสมตาดอกที่ต้นได้รับจำนวน 3 ใน 4 ส่วน ไปจากดินที่ผ่านการเตรียมมาอย่างดี ส่วนการให้ทางใบเป็นเพียงเสริมเท่านั้น
4. ปรับ ซี/เอ็น เรโช
ทางใบ :
สูตร 1
- ให้น้ำ 100 ล.+ 0-42-56(400 กรัม)+ ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี.+ แคลเซียม โบรอน 100 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี.
สูตร 2
ให้น้ำ 100 ล. + ฮอร์โมนไข่ 50 ซีซี.+ แคลเซียม โบรอน 100 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. ในรอบ 7 วันให้สูตร 1 สลับกับสูตร 2 อย่างละครั้ง ฉีดพ่นพอเปียกใบไม่ให้ตกลงพื้น
ทางราก :
- เปิดหน้าดินโคนต้นให้แสงแดดส่องถึง
- งดให้น้ำเด็ดขาด สวนยกร่องน้ำหล่อจะต้องสูบน้ำออกให้หมด
หมายเหตุ :
- เริ่มปฏิบัติเมื่อได้สะสมอาหารจนต้นมีความสมบูรณ์เต็มที่และสภาพอากาศเอื้ออำนวย
- ก่อนเข้าสู่ขั้นตอนการบำรุงขั้นต่อไป คือ ปรับ ซี/เอ็น เรโช. ให้ทบทวนความทรงจำเมื่อครั้งเรียกกิ่งอ่อนแล้วกิ่งอ่อนออกมาพร้อมกันเป็นชุด เดียวทั่วทั้งต้นหรือไม่ ถ้ากิ่งอ่อนออกมาพร้อมกันดีทั่วทั้งต้นให้ปรับ ซี/เอ็น เรโช.ต่อไปได้เลย แต่ถ้ากิ่งอ่อนออกมาไม่พร้อมกันเป็นชุดเดียวทั่วทั้งต้นและค่อนข้างต่างรุ่น กันมากก็ให้บำรุงสะสมอาหารเพื่อการออกดอกต่อไปอีก 2-3 รอบ เพื่อรอให้กิ่งอ่อนชุดหลังสะสมอาหารจนอั้นตาดอกดีเท่ากับกิ่งอ่อนชุดแรกจาก นั้นจึงลงมือปรับ ซี/เอ็น เรโช. ทั้งนี้วัตถุประสงค์เพื่อทำให้มีดอกออกมาพร้อมกันเป็นชุดเดียวกันทั่วทั้ง ต้นนั่นเอง
- จากประสบการณ์ตรงพบว่าการปรับ ซี/เอ็น เรโช ด้วยวิธีงดน้ำและเปิดหน้าดินโคนต้นนั้นไม่ใช่สิ่งจำเป็น เพราะแก้วมังกรเป็นพืชอวบน้ำ แม้จะงดน้ำอย่างไรใบหรือกิ่งก็ไม่สลด ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเน้นที่การบำรุง “สะสมอาหารเพื่อการออกดอก” เป็นหลัก
- ต้นที่มีอาการอั้นตาดอกดีจนพอใจแล้วไม่ต้องฉีดพ่นกลูโคสหรือนมสัตว์สดเพิ่ม อีก แต่ถ้าต้นมีอาการอั้นตาดอกไม่ดีหรือยังไม่น่าพอใจ แนะนำให้ฉีดพ่นกลูโคสหรือนมสัตว์ทางใบอีกซ้ำอีก 1 รอบ โดยเว้นระยะเวลาให้ห่างจากที่เคยให้เมื่อช่วงสะสมอาหารไม่น้อยกว่า 20-30 วัน
- มาตรการเสริมด้วยให้แสงไฟขนาด 60-100 วัตต์ช่วงหลังพระอาทิตย์สิ้นแสงวันละ 2-3 ชม.และก่อนพระอาทิตย์ขึ้นอีก 1-2 ชม.ติดต่อกัน 1-2 สัปดาห์จะช่วยให้เกิดการสะสมเพิ่ม ซี.และลด เอ็น.ได้มาก
5. สำรวจความพร้อมของต้น
- ก้านใหญ่ สีเปลือกเขียวเข้ม ปลายก้านโค้งมนด้วน
- ตุ่มตาใต้หนามนูนยาวชี้เข้าหากลางกิ่งทั้งสองด้านของกิ่ง
- สีหนามเป็นสีน้ำตาลไหม้หรือดำคล้ำ แข็ง เมื่อใช้ปลายนิ้วสะกิดเบาจะหลุดร่วง
- ตรวจตาด้วยการสุ่มดึงหนามใดหนามหนึ่งขึ้นมาดู ถ้าเนื้อใต้หนามเป็นสีเหลืองแสดงว่าอั้นตาดอกดี แต่ถ้ายังเป็นสีเขียวอยู่แสดงว่าอั้นตาดอกไม่ดี
หมายเหตุ
เริ่มปฏิบัติพร้อมๆกันกับการปรับ ซี/เอ็น เรโช
6. เปิดตาดอก
ทางใบ :
วิธีที่ 1
- ในรอบ 7 วันให้น้ำ 100 ล. + 0-42-56 (400 กรัม) + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี. + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. 1 รอบกับให้น้ำ 100 ล. + ฮอร์โมนไข่ 100 ซีซี. + สาหร่ายทะเล 50 กรัม + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. อีก 1 รอบ ฉีดพ่นพอเปียกใบ อย่าให้ลงถึงพื้น
วิธีที่ 2
- ใช้ฮอร์โมนเปิดตาดอกแก้วมังกรโดยเฉพาะ โดยใช้ปลายเล็บขูดผิวเปลือกบริเวณตุ่มตา (ใต้หนาม) ออกก่อนแล้วใช้ปลายพู่กันจุ่มฮอร์โมนเข้มข้นทาหรือป้ายบนผิวเปลือกที่ขูด นั้น ฮอร์โมนจะซึมผ่านเข้าสู่ภายในได้ดีขึ้น ใช้ฮอร์โมนป้ายตาอั้นตาดอกเต็มที่แล้ว 2-3 ตา/กิ่ง แต่ละตาห่างกัน 2-3 ข้อ
ทางราก :
- ยังคงเปิดหน้าดินโคนต้น
- ยังคงงดน้ำ
หมายเหตุ :
- เริ่มปฏิบัติหลังจากต้นมีอาการอั้นตาดอกเต็มที่และสภาพอากาศพร้อม
- แก้วมังกรตอบสนองต่อปุ๋ยน้ำชีวภาพและฮอร์โมนธรรมชาติ (ทำเอง) ดีมาก การใช้เพียงฮอร์โมนไข่ที่มีสาหร่ายทะเลเป็นส่วนผสมอยู่ด้วยเปิดตาดอก ก็สามารถออกดอกได้ ถ้าต้นได้รับการสะสมอาหารเพื่อการออกดอกและปรับ ซี/เอ็น เรโช.มาดี
- ถ้าดอกออกมาไม่มากพอ ระหว่างที่ดอกชุดแรกยังเป็นดอกตูมอยู่นั้น ให้เปิดตาดอกซ้ำอีก 1-2 รอบด้วยสูตรเดิม
หรือจนกระทั่งดอกชุดแรกบานแล้วจึงยุติการเปิดตาดอกซ้ำ
7. บำรุงดอก
ทางใบ :
- ให้ น้ำ 100 ล. + 15-45-15 (400 กรัม) + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี. + เอ็นเอเอ. 100ซีซี. + ฮอร์โมนไข่ 50 ซีซี. + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. ฉีดพ่นพอเปียกใบ ทุก 5-7 วัน
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร ทุก 2-3 วัน
ทางราก :
- ยังคงเปิดหน้าดินโคนต้น
- ให้ 8-24-24 (1/2 กก.)/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม.
- ให้น้ำเล็กน้อยพอต้นรู้ตัว ทุก 2-3 วัน
หมายเหตุ :
- เริ่มปฏิบัติเมื่อดอกขนาดเท่าปลายตะเกียบหรือเมล็ดถั่วเขียว
- ดอกแก้วมังกรบานและต้องการผสมเกสรช่วงกลางคืน (19.00-21.00) โดยลมพัด ถ้าไม่มีลมพัดช่วยส่งละอองเกสรตัวผู้ก็ต้องช่วยผสมด้วยมือ โดยเด็ดดอกแก้วมังกรจากต้นอื่นไปแหย่ใส่ให้กับอีกดอกหนึ่ง โดยให้ละอองเกสรตัวผู้ของดอกที่เด็ดมาสัมผัสกับเกสรตัวเมียของต้นที่เก็บดอก ไว้ หรือเก็บเกสรตัวผู้ใส่กล่องพ่นเกสร (ใช้ผสมเกสรทุเรียน-สละ) ฉีดพ่นใส่ดอกที่กำลังบานก็ได้ ผลที่เกิดจากดอกที่ได้รับการช่วยผสมด้วยมือจะเป็นสมบูรณ์และขนาดใหญ่ เสมอ
- ดอกแก้วมังกรบานพร้อมผสมแล้วมีฝนตกชุก ผลที่เกิดมาจะเล็กหรือแคระแกร็น
- ช่วงดอกตั้งแต่เริ่มแทงออกมาให้เห็นหรือระยะดอกตูม บำรุงด้วยฮอร์โมนเอ็นเอเอ. 1 รอบ จะช่วยบำรุงเกสรทั้งตัวผู้และตัวเมียให้สมบูรณ์พร้อมรับผสม แต่ต้องใช้ด้วยระมัดระวังเพราะถ้าให้เข้มข้นเกินไปจะเกิดความเสียหายต่อดอก และถ้าให้อ่อนเกินไปก็จะไม่ได้ผล
- ช่วงดอกเริ่มแทงออกมาใหม่ๆให้แคลเซียม โบรอน. 1 รอบ จะช่วยให้ดอกสมบูรณ์ผสมติดดี
- ช่วงดอกตูมควรฉีดพ่นสารสัดสมุนไพรบ่อยขึ้น เพื่อป้องกันโรคและแมลงจนถึงช่วงดอกบาน
- ช่วงดอกบานงดการฉีดพ่นทางใบ เพราะอาจทำให้เกสรเปียกชื้นจนผสมไม่ติดได้
- ระยะดอกบานถ้าตรงกับช่วงฝนชุกเกสรจะเปียกชื้นทำให้ผสมไม่ติด แก้ไขโดยกะระยะให้ดอกออกมาแล้วไม่ตรงกับช่วงฝนชุกเท่านั้น แต่ถ้าดอกออกมาตรงกับช่วงแล้งอากาศร้อนมากเกสรจะฝ่อทำให้ผสมไม่ติดได้เช่น กัน แก้ไขโดยการสร้างความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศและที่พื้นดิน ทั้งในแปลงปลูกและรอบๆแปลงปลูก.......มาตรการบำรุงต้นและดอกให้สมบูรณ์อย่าง แท้จริงอยู่เสมอตั้งแต่เริ่มต้นจะช่วยลดความสูญเสียได้เป็นอย่างมาก
- เพื่อความมั่นใจในเปอร์เซ็นต์หรือประสิทธิภาพของฮอร์โมน เอ็นเอเอ. แนะนำให้ใช้ฮอร์โมน เอ็นเอเอ.วิทยาศาสตร์แทนฮอร์โมน เอ็นเอเอ.ทำเองจะได้ผลกว่า
- ฉีดพ่นสารอาหารเพื่อบำรุงดอกด้วยเครื่องมือฉีดพ่นที่มีแรงลมพ่นเบาที่สุดตาม ความเหมาะสมเพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนต่อส่วนต่างๆของดอก ฉีดพ่นที่ช่อดอกโดยตรงพอเปียกหรือฉีดพ่นให้ทั่งทรงพุ่มพอเปียกใบก็ได้
- บำรุงดอกช่วงฝนชุกให้เน้น “สังกะสี และ แคลเซียม โบรอน” โดยให้เมื่อดอกออกมาแล้วหรือให้แบบสะสมล่วงหน้าตั้งแต่ช่วงเปิดตาดอก ให้เดี่ยวๆหรือผสมรวมไปกับธาตุอาหารอื่นๆก็ได้
8. บำรุงผลเล็ก - ผลกลาง
ทางใบ :
- ในรอบ 7 วันให้น้ำ 100 ล. + 21-7-14 (400 กรัม) + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี. + ไคโตซาน 100 ซีซี. + แคลเซียม โบรอน 100 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. ทุก 5-7 วัน ฉีดพ่นพอเปียกใบ
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร ทุก 2-3 วัน
ทางราก :
- นำปุ๋ยหมัก ปุ๋ยอินทรีย์ กลับเข้าคลุมโคนต้นอย่างเดิม
- ใส่ยิบซั่มธรรมชาติ 10 เปอร์เซ็นต์ของอัตราการใส่เมื่อช่วงเตรียมดิน
- ใส่น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง + 21-7-14 (½-1 กก.)/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม.
- ให้น้ำปกติ ทุก 2-3 วัน
หมายเหตุ :
- เริ่มปฏิบัติหลังจากกลีบดอกร่วงหรือระยะ 1 สัปดาห์แรก
- เนื่องจากอายุการเจริญเติบโตของผลแก้วมังกรมีระยะสั้นมาก ตั้งแต่ผสมติดถึงเก็บเกี่ยวเพียง 1 เดือนหรือ 4 สัปดาห์เท่านั้น การใส่ปุ๋ยทางรากสูตร 21-7-14 แบบแบ่งใส่ 2-3 ครั้งๆละ 1 กำมือ/สัปดาห์จะได้ผลกว่าการใส่ครั้งเดียว
- ถ้าติดผลดกมากควรให้แม็กเนเซียม. ฮอร์โมน เอ็นเอ. ฮอร์โมนไข่. 1-2 รอบ โดยแบ่งให้ตลอดช่วงผลขนาดกลางจะช่วยให้ต้นไม่โทรมเนื่องจากแบกภาระเลี้ยงผล จำนวนมากบนต้น
- ให้จิ๊บเบอเรลลิน 100 กรัม/น้ำ 100 ล. ฉีดพ่น 1 รอบ สามารถแก้อาการผลแตกได้ระดับหนึ่ง แต่หากได้ใช้สลับครั้งกับแคลเซียม โบรอน.จะแก้อาการผลแตกได้แน่นอนยิ่งขึ้น
- ให้ทางใบด้วย ธาตุรอง/ธาตุเสริม 1-2 รอบ โดยแบ่งให้ตลอดช่วงผลกลางจะช่วยบำรุงขยายขนาดผลให้ใหญ่และเนื้อแน่นขึ้นแต่ เมล็ดมีขนาดเท่าเดิม
9. บำรุงผลแก่ก่อนเก็บเกี่ยว
ทางใบ :
- ให้น้ำ 100 ล. + 0-21-74 หรือ 0-0-50 สูตรใดสูตรหนึ่ง (400 กรัม) + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี. + แคลเซียม โบรอน 100 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี หรือ น้ำ 100 ล. + มูลค้างคาวสกัด 100 ซีซี. + ธาตุรอง/ธาตุเสริม100 ซีซี. + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. 1-2 รอบ ห่างกันรอบละ 5-7 วัน ก่อนเก็บเกี่ยว ฉีดพ่นพอเปียกใบ
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร ทุก 2-3 วัน
ทางราก :
- เปิดหน้าดินโคนต้น
- ให้ 13-13-21 หรือ 8-24-24 สูตรใดสูตรหนึ่ง (1/2-1 กก.)/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม.
- งดน้ำ
หมายเหตุ :
- เริ่มปฏิบัติก่อนเก็บเกี่ยว 7-10 วัน
- ระยะเวลาในการบำรุงผลแก่ก่อนเก็บเกี่ยวเพียง 1 สัปดาห์ ให้ 2 รอบห่างกันรอบละ 3-5 วัน จะช่วยให้สีจัดรสดี เนื้อแห้งกรอบ
- ผลแก่แล้วสามารถยืดอายุการเก็บเกี่ยวได้ 7-10 วัน โดยที่ผลแก่จัดมีสีแดงเต็มผลแล้วถ้ายังไม่เก็บเกี่ยว ผลจะเป็นสีชมพูอมแดง (ไม่แดงจัดเหมือนครั้งแรก) แต่คุณภาพภายในผลยังดีเหมือนเดิมหรือดีขึ้นกว่าเดิม
- การบำรุงผลแก่ใกล้เก็บเกี่ยวโดยให้ทางรากด้วย 8-24-24 เหมาะสำหรับต้นที่มีผลหลายรุ่นซึ่งหลังจากเก็บเกี่ยวผลแก่รุ่นแรกไปแล้วจะ ช่วยบำรุงผลชุดหลังต่อ นอกจากนี้ยังทำให้ต้นไม่โทรมเหมาะสำหรับการเตรียมความพร้อมต้นต่อการปฏิบัติ บำรุงรุ่นปีต่อไปอีกด้วย
การบังคับแก้วมังกรให้ออกก่อนฤดูกาล
- เดือน ก.ค.- ส.ค. ตัดแต่งกิ่ง เรียกใบอ่อน
- เดือน ก.ย.- ต.ค. สะสมอาหารเพื่อการออกดอก
- เดือน พ.ย.- ธ.ค. สะสมอาหารเพื่อการออกดอกพร้อมกับให้แสง ไฟขนาด 100 วัตต์ 1
หลอด/4 ต้น ช่วง เวลา 18.00-21.00 น.และ 05.00-06.00 น.
ทุกวัน ตลอด 1 เดือน
- เดือน ม.ค. เปิดตาดอก
- เดือน ก.พ. บำรุงผล
หมายเหตุ :
- การให้แสงไฟวันละ 2-4 ชม.หลังพระอาทิตย์สิ้นแสง ช่วงอากาศหนาว (พ.ย.-ธ.ค.) ต้องใช้ระยะเวลานาน 20-25 วันขึ้นไป แต่ถ้าเป็นช่วงหน้าแล้งใช้ระยะเวลาให้ประมาณ 15-20 วัน ซึ่งดอกที่ออกมาจะดกกว่าช่วงอากาศปกติที่ไม่มีการให้แสงไฟ....ในฤดูกาลปกติ ถ้ามีการให้แสงไฟก็จะช่วยให้ออกดอกดีและดกกว่าการไม่ให้แสง ไฟ
- การบังคับให้ออกนอกฤดูจะสำเร็จได้ ต้นต้องได้รับการบำรุงอย่างดี มีการจัดการปัจจัยพื้นฐานด้านการเกษตร (ดิน-น้ำ-แสงแดด/อุณหภูมิ/ฤดูกาล-สารอาหาร-สายพันธุ์-โรค) อย่างถูกต้องสม่ำเสมอจนต้นสมบูรณ์เต็มที่ และไม่ควรปล่อยให้ออกดอกติดผลในฤดูกาลมาก่อน
ที่มา เว็บไซต์สวนคุณไพบูลย์
http://www.paiboonrayong.com/articles/400171/%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A3.html
#############################################################################
การปลูกแก้วมังกรและข้อมูลด้านต่าง ๆ
ลักษณะของต้นแก้วมังกร
- แก้วมังกร หรือลูกมังกร (Dragon Fruit) เป็นพืชตระกูลเดียวกับตะบองเพชร ในตระกูล Hylocereus spp. ลำต้นสีเขียวดั่งมังกรจึ่งเรียกต้นของมันว่า ต้นมังกรเขียว(Green Dragon) เมื่อออกผลมาดูคล้าย “ลูกแก้ว” มีลักษณะลำต้นอวบน้ำเป็นแฉกสามแฉก มี หนามกระจุกอยู่ที่ข้างตาเป็นช่วง ๆ มีลักษณะคล้ายต้นโบตั๋น แต่ต้นโบตั๋นใช้ปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับ เพราะดอกของโบตั๋นหลังจากบานแล้วจะเหี่ยวและร่วงหล่นไป โดยไม่มีผลติดอยู่
ข้อ ควรระวังในการเลือกซื้อพันธุ์แก้วมังกร ด้วยความคล้ายคลึงกันของแก้วมังกรและโบตั๋น จึงทำให้มีพ่อค้าจอมโกงบางคนนำกิ่งพันธุ์ของต้นโบตั๋นมาขาย โดยอ้างว่าเป็นกิ่งพันธุ์ของต้นแก้วมังกรดังนั้น จึงเป็นข้อควรระวังสำหรับผู้ที่กำลังหากิ่งพันธุ์มาปลูก
ลักษณะ ดอกและ ผลแก้วมังกร เมื่อดอกบานเต็มที่จะเหี่ยวและร่วงหล่นโดยส่วนโคนดอกจะเป็นรูปกลมรีหรือรูป ไข่ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3-4 นิ้ว และยาวประมาณ 4 – 6 นิ้ว มีน้ำหนักระหว่าง 200 – 500 กรัม เปลือกมีสีสันสดใส สีแดงอมชมพู โดยมีบางส่วนของกลีบดอกเล็ก ๆ ติดอยู่ที่ผลสีเขียว ทำให้ดูสวยงามสะดุดตา เมื่อผ่าผลออกมาจะพบว่าเนื้อในมีสีขาวขุ่น ภานในมีเมล็ดเล็ก ๆ สีดำคล้าย เมล็ดงาดำหรือแมงลักฝังตัวกระจายอยู่ทั่วไป เป็นจำนวนมาก
ลักษณะของต้นแก้วมังกร
- แก้วมังกร หรือลูกมังกร (Dragon Fruit) เป็นพืชตระกูลเดียวกับตะบองเพชร ในตระกูล Hylocereus spp. ลำต้นสีเขียวดั่งมังกรจึ่งเรียกต้นของมันว่า ต้นมังกรเขียว(Green Dragon) เมื่อออกผลมาดูคล้าย “ลูกแก้ว” มีลักษณะลำต้นอวบน้ำเป็นแฉกสามแฉก มี หนามกระจุกอยู่ที่ข้างตาเป็นช่วง ๆ มีลักษณะคล้ายต้นโบตั๋น แต่ต้นโบตั๋นใช้ปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับ เพราะดอกของโบตั๋นหลังจากบานแล้วจะเหี่ยวและร่วงหล่นไป โดยไม่มีผลติดอยู่
ข้อ ควรระวังในการเลือกซื้อพันธุ์แก้วมังกร ด้วยความคล้ายคลึงกันของแก้วมังกรและโบตั๋น จึงทำให้มีพ่อค้าจอมโกงบางคนนำกิ่งพันธุ์ของต้นโบตั๋นมาขาย โดยอ้างว่าเป็นกิ่งพันธุ์ของต้นแก้วมังกรดังนั้น จึงเป็นข้อควรระวังสำหรับผู้ที่กำลังหากิ่งพันธุ์มาปลูก
ลักษณะ ดอกและ ผลแก้วมังกร เมื่อดอกบานเต็มที่จะเหี่ยวและร่วงหล่นโดยส่วนโคนดอกจะเป็นรูปกลมรีหรือรูป ไข่ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3-4 นิ้ว และยาวประมาณ 4 – 6 นิ้ว มีน้ำหนักระหว่าง 200 – 500 กรัม เปลือกมีสีสันสดใส สีแดงอมชมพู โดยมีบางส่วนของกลีบดอกเล็ก ๆ ติดอยู่ที่ผลสีเขียว ทำให้ดูสวยงามสะดุดตา เมื่อผ่าผลออกมาจะพบว่าเนื้อในมีสีขาวขุ่น ภานในมีเมล็ดเล็ก ๆ สีดำคล้าย เมล็ดงาดำหรือแมงลักฝังตัวกระจายอยู่ทั่วไป เป็นจำนวนมาก
การปลูกแก้ว มังกร
แก้ว มังกรเป็นไม้เลื้อยลำต้นอ่อนจำเป็นต้องมีหลักให้ลำต้นเกาะยึดซึ่งหลักจะ เป็นไม้เนื้อแข็งหรือเสาซีเมนต์ก็ได้ ถ้าใช้ท่อซีเมนต์เป็นเสาซึ่งรูปทรงกลมภายในกลวงแต่เทปูนไว้ก้นท่อเพื่อไว้ ใส่น้ำหล่อเลี้ยงให้เสามีความชุ่มชื้นอยู่เสมอ ฝังท่อซีเมนต์ลงในดินประมาณ 40 –50 ซม. ต้องสูงจากพื้นดินประมาณ 1.5 –2 เมตร ด้านบนของเสาทำเป็นร้านให้กิ่งเกาะแผ่ขยายออกไประยะปลูก 3 x 3 เมตร เตรียมหลุมขนาด 30x30x30 ซม. รอบ ๆ หลัก หลักละ 4 หลุม สำหรับปลูกหลุมละ 1 ต้น รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยหมักเก่า 1 ปุ้งกี๋ เมื่อนำกิ่งพันธุ์ลงหลุมแล้วมัดกิ่งพันธุ์ให้แนบหลักและกันแดดให้ 1 –2 สัปดาห์
แก้ว มังกรเป็นไม้เลื้อยลำต้นอ่อนจำเป็นต้องมีหลักให้ลำต้นเกาะยึดซึ่งหลักจะ เป็นไม้เนื้อแข็งหรือเสาซีเมนต์ก็ได้ ถ้าใช้ท่อซีเมนต์เป็นเสาซึ่งรูปทรงกลมภายในกลวงแต่เทปูนไว้ก้นท่อเพื่อไว้ ใส่น้ำหล่อเลี้ยงให้เสามีความชุ่มชื้นอยู่เสมอ ฝังท่อซีเมนต์ลงในดินประมาณ 40 –50 ซม. ต้องสูงจากพื้นดินประมาณ 1.5 –2 เมตร ด้านบนของเสาทำเป็นร้านให้กิ่งเกาะแผ่ขยายออกไประยะปลูก 3 x 3 เมตร เตรียมหลุมขนาด 30x30x30 ซม. รอบ ๆ หลัก หลักละ 4 หลุม สำหรับปลูกหลุมละ 1 ต้น รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยหมักเก่า 1 ปุ้งกี๋ เมื่อนำกิ่งพันธุ์ลงหลุมแล้วมัดกิ่งพันธุ์ให้แนบหลักและกันแดดให้ 1 –2 สัปดาห์
การให้ผลผลิต
ต้น แก้วมังกรที่เติบโตจากการใช้กิ่งปักชำเมื่ออายุได้ประมาณ 8 –10 เดือน จะให้ผลผลิต การเริ่มออกดอก จะออกบริเวณปลายกิ่ง มีลักษณะคล้ายดอกโบตั๋น คือมีสีเหลืองอมชมพูซึ่งสวยงามมาก จะบานในเวลากลางคืน อยู่ได้ประมาณ 2 –3 วัน จะเหี่ยวและร่วงไป เหลือผลที่มีกลีบเลี้ยงหุ้มหลังจากนั้นประมาณ 1 เดือน ผลจะแก่และเก็บเกี่ยวได้ โดยปกติใน 1 ปี ต้นแก้วมังกรจะให้ผลผลิตได้ประมาณ 4 รุ่น ตั้งแต่ พฤษภาคมถึง สิงหาคม ของทุกปี ต้นแก้วมังกรจะเริ่มให้ดอกชุดแรกในเดือนมีนาคมและดอกชุดสุดท้ายในเดือน กรกฎาคม ลูกแก้วมังกรที่เก็บเกี่ยวจากต้นแล้วถ้านำมาใส่ถุงพลาสติกแล้วแช่เย็นจะ สามารถเก็บรักษาได้ประมาณ 15 วัน โดยไม่เหี่ยวและเป็นการเพิ่มความหวานให้กับผลด้วย
ต้น แก้วมังกรที่เติบโตจากการใช้กิ่งปักชำเมื่ออายุได้ประมาณ 8 –10 เดือน จะให้ผลผลิต การเริ่มออกดอก จะออกบริเวณปลายกิ่ง มีลักษณะคล้ายดอกโบตั๋น คือมีสีเหลืองอมชมพูซึ่งสวยงามมาก จะบานในเวลากลางคืน อยู่ได้ประมาณ 2 –3 วัน จะเหี่ยวและร่วงไป เหลือผลที่มีกลีบเลี้ยงหุ้มหลังจากนั้นประมาณ 1 เดือน ผลจะแก่และเก็บเกี่ยวได้ โดยปกติใน 1 ปี ต้นแก้วมังกรจะให้ผลผลิตได้ประมาณ 4 รุ่น ตั้งแต่ พฤษภาคมถึง สิงหาคม ของทุกปี ต้นแก้วมังกรจะเริ่มให้ดอกชุดแรกในเดือนมีนาคมและดอกชุดสุดท้ายในเดือน กรกฎาคม ลูกแก้วมังกรที่เก็บเกี่ยวจากต้นแล้วถ้านำมาใส่ถุงพลาสติกแล้วแช่เย็นจะ สามารถเก็บรักษาได้ประมาณ 15 วัน โดยไม่เหี่ยวและเป็นการเพิ่มความหวานให้กับผลด้วย
การดูแลรักษาระหว่างปลูก
โดย ทั่วไปการปฏิบัติดูแลรักษาระหว่างปลูกค่อนข้างสะดวกเพราะเป็นพืชทนแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องให้น้ำมากเหมือนไม้ผลอื่น ๆ แต่ก็ควรหาเศษหญ้าแห้ง ฟาง หรือ แกลบเป็นวัสดุคลุมโคนต้นไว้เพื่อช่วยรักษาความชื้นของดินและป้องกันวัชพืช ให้ปุ๋ยคอก เสริมด้วยปุ๋ยเคมี 2 – 3 เดือนต่อครั้ง โดยให้ปุ๋ยคอกหลักละประมาณ 1 ปุ้งกี๋ ส่วยปุ๋ยเคมีควรใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หลักละ 1-2 ช้อนแกง และอาจมีการให้ปุ๋ยเคมีทางน้ำเสริมโดยเติมสาหร่ายทะเลสกัดทั้งนี้ ควรสังเกตความเจริญและการให้ผลของต้นแก้วมังกร ถ้าต้นยังงอกงามและให้ผลผลิตดี ก็ไม่จำเป็นต้องให้ปุ๋ยมากเกินไป
โดย ทั่วไปการปฏิบัติดูแลรักษาระหว่างปลูกค่อนข้างสะดวกเพราะเป็นพืชทนแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องให้น้ำมากเหมือนไม้ผลอื่น ๆ แต่ก็ควรหาเศษหญ้าแห้ง ฟาง หรือ แกลบเป็นวัสดุคลุมโคนต้นไว้เพื่อช่วยรักษาความชื้นของดินและป้องกันวัชพืช ให้ปุ๋ยคอก เสริมด้วยปุ๋ยเคมี 2 – 3 เดือนต่อครั้ง โดยให้ปุ๋ยคอกหลักละประมาณ 1 ปุ้งกี๋ ส่วยปุ๋ยเคมีควรใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หลักละ 1-2 ช้อนแกง และอาจมีการให้ปุ๋ยเคมีทางน้ำเสริมโดยเติมสาหร่ายทะเลสกัดทั้งนี้ ควรสังเกตความเจริญและการให้ผลของต้นแก้วมังกร ถ้าต้นยังงอกงามและให้ผลผลิตดี ก็ไม่จำเป็นต้องให้ปุ๋ยมากเกินไป
โรค และแมลงที่สำคัญ
ยัง พบไม่มากจะมีเพียงมดและนกเท่านั้นสำหรับมดเมื่อพบว่ามีมากอาจสร้างความ เสียหายอย่างใหญ่หลวงแก่ผู้ปลูกได้ จึงจะใช้วิธีกำจัดโดยใช้สารเคมีฉีดพ่นพร้อมทั้งสารจับใบ ส่วนนกนับว่าเป็นศัตรูที่สำคัญไม่น้อย เพราะนกจะเข้าจิกทำลายในขณะที่ผลกำลังใกล้แก่ ซึ่งวิธีป้องกันทำได้โดยการห่อผล
ยัง พบไม่มากจะมีเพียงมดและนกเท่านั้นสำหรับมดเมื่อพบว่ามีมากอาจสร้างความ เสียหายอย่างใหญ่หลวงแก่ผู้ปลูกได้ จึงจะใช้วิธีกำจัดโดยใช้สารเคมีฉีดพ่นพร้อมทั้งสารจับใบ ส่วนนกนับว่าเป็นศัตรูที่สำคัญไม่น้อย เพราะนกจะเข้าจิกทำลายในขณะที่ผลกำลังใกล้แก่ ซึ่งวิธีป้องกันทำได้โดยการห่อผล
การตลาดรองรับ
ผู้ ที่ปลูกแก้วมังกรเพื่อการค้า ถึงแม้ว่าขณะนี้ผลไม้ชนิดนี้กำลังเป็นที่จับตามอง เพราะราคาค่อนข้างสูง และเป็นที่ต้องการของต่างประเทศก็ตาม แต่ก็ยังไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะเป็นพืชเศรษฐกิจอีกชนิดหนึ่งได้หรือไม่ เพราะยังไม่แน่ว่าในอนาคตหากมีการปลูกกันมากขึ้น เกษตรจะประสบปัญหาด้านตลาดหรือราคาเหมือนเช่นที่พืชเศรษฐกิจบางชนิดเคยได้ รับมา
ผู้ ที่ปลูกแก้วมังกรเพื่อการค้า ถึงแม้ว่าขณะนี้ผลไม้ชนิดนี้กำลังเป็นที่จับตามอง เพราะราคาค่อนข้างสูง และเป็นที่ต้องการของต่างประเทศก็ตาม แต่ก็ยังไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะเป็นพืชเศรษฐกิจอีกชนิดหนึ่งได้หรือไม่ เพราะยังไม่แน่ว่าในอนาคตหากมีการปลูกกันมากขึ้น เกษตรจะประสบปัญหาด้านตลาดหรือราคาเหมือนเช่นที่พืชเศรษฐกิจบางชนิดเคยได้ รับมา
การลงทุนและผลตอบแทน
เนื่อง จากแก้วมังกรเป็นไม้ผลที่ให้ผลผลิตต่อไร่สูงถึง 8,000 –12,000 กก. (เมื่ออายุ 3 ปีขึ้นไป) และอายุการให้ผลผลิตยาวนานถึง 10 –15 ปี หากระดับราคาหน้าสวนลดลงมาอยู่ในราคาประมาณ 30 บาท/กก. เกษตรกรผู้ปลูกก็ยังมีกำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า 150,000 บาท / ไร่ ใช้เวลาปลูกเพียง 3 ปี ก็คืนทุนแต่การลงทุนครั้งแรกค่อนข้างสูงถึง 80,000 – 120,000 บาท/ไร่
เนื่อง จากแก้วมังกรเป็นไม้ผลที่ให้ผลผลิตต่อไร่สูงถึง 8,000 –12,000 กก. (เมื่ออายุ 3 ปีขึ้นไป) และอายุการให้ผลผลิตยาวนานถึง 10 –15 ปี หากระดับราคาหน้าสวนลดลงมาอยู่ในราคาประมาณ 30 บาท/กก. เกษตรกรผู้ปลูกก็ยังมีกำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า 150,000 บาท / ไร่ ใช้เวลาปลูกเพียง 3 ปี ก็คืนทุนแต่การลงทุนครั้งแรกค่อนข้างสูงถึง 80,000 – 120,000 บาท/ไร่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น