“บัญชา หนูเล็ก” กับการปลูก "ขึ้นฉ่าย" เงินล้าน ที่ ราชบุรี
วันที่ 09 มิถุนายน พ.ศ. 2555 เวลา 12:32:49 น.
|
บันทึกไว้เป็นเกียรติ
ทวีศักดิ์ ชัยเรืองยศ
คุณบัญชา หนูเล็ก อยู่บ้านเลขที่ 9/5 หมู่ที่ 7 ตำบลบางแพ อำเภอบางแพ
จังหวัดราชบุรี โทร. (089) 220-8438 ถือเป็นเกษตรกรมืออาชีพท่านหนึ่ง
ในอำเภอบางแพ ที่สะสมประสบการณ์ในการปลูกผักมาตั้งแต่รุ่นพ่อ รุ่นแม่
ประกอบกับ คุณบัญชา ได้นำเอาวิชาการ
และเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้ในการทำการเกษตรของตนเอง
ส่งผลให้การปลูกผักประสบผลสำเร็จและเกิดข้อผิดพลาดน้อยที่สุด
ทั้งยังมีผลกำไรสูงสุด
“ขึ้นฉ่าย” ถือเป็นผักอีกชนิดหนึ่งที่คุณบัญชา กล่าวว่า
เป็นการทำการเกษตรแบบแจ๊กพ็อต ที่ปลูกเพียงครั้งเดียว สามารถสร้างรายได้ถึง
1 ล้านบาท แต่สามารถปลูกได้เพียงครั้งเดียว ในรอบ 3-5 ปี เป็นเพราะอะไร
คุณบัญชา มีคำตอบและข้อแนะนำเคล็ดลับดีๆ ในการปลูกขึ้นฉ่าย
ตลาดมีความต้องการ “ขึ้นฉ่าย” ทุกวัน เช่นเดียวกับผักชี ต้นหอม
ขึ้นฉ่ายมีราคาเฉลี่ยตลอดทั้งปีที่ค่อนข้างดี
และมีปริมาณการใช้ผักขึ้นฉ่ายมากในช่วงเทศกาลสำคัญ เช่น ปีใหม่ ตรุษจีน
สงกรานต์ ฯลฯ คล้ายกับผักชนิดอื่นๆ
ซึ่งในช่วงเทศกาลดังกล่าวจะมีราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 100 บาท
โดยเกษตรกรที่ปลูกผักขึ้นฉ่ายก็ต้องมีการคำนวณช่วงเวลาเพาะปลูก
มองหาช่องทางว่าจะให้ผลผลิตออกสู่ตลาดในช่วงใด จึงจะมีผลกำไรมากที่สุด
คุณบัญชา อาศัยการเรียนรู้จากประสบการณ์ว่า ช่วงเวลาใด
ที่ผักมีในตลาดน้อย หรือตลาดมีความต้องการมาก ซึ่งได้คำตอบจากคุณบัญชา ว่า
ถ้าจะผลิต “ผักขึ้นฉ่าย” จำหน่ายให้ได้ราคาสูง และตลาดมีความต้องการนั้น
คุณบัญชา จะผลิตออกมาสู่ตลาดให้ตรงกับวัน “ออกพรรษา”
โดยคุณบัญชาให้เหตุผลว่า ไม่ใช่เพราะตลาดมีความต้องการเพิ่มมากขึ้น
แต่เป็นเรื่องของช่วงจังหวะเวลาที่ในช่วงวันออกพรรษา
ที่ส่วนใหญ่ทุกคนจะต้องหยุดงานแล้วไปทำบุญ
นั่นก็รวมถึงเกษตรกรผู้ปลูกผักและแรงงานที่เก็บผักด้วย ที่หยุดไปทำบุญด้วย
ทำให้ผักป้อนเข้าสู่ตลาดน้อยมากในทุกปี
ทั้งที่ปริมาณการใช้ผักยังคงเท่าเดิม หรือมีมากขึ้น แต่สินค้าไม่มี
ทำให้ราคาผักหรือผักขึ้นฉ่ายที่เตรียมปลูกส่งตลาดมีราคาสูงขึ้นนั่นเอง
นี่ถือเป็นเคล็ดลับที่คุณบัญชายอมเปิดเผยว่า
เป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง และเป็นอย่างนี้มานานนับสิบปีแล้ว
จึงทำให้รู้ว่าสินค้าพืชผักจะแพงในช่วงใด
ทำไม จึงเรียก “เกษตรแจ๊กพ็อต”คุณ
บัญชา อธิบายว่า ส่วนหนึ่งคือ
การคาดการณ์ในเรื่องของผลผลิตที่จะให้ออกสู่ตลาดช่วงใด ให้ได้ราคาสูงสุด
ซึ่งเกษตรกรต้องเลือกปลูกผักชนิดที่คิดว่าจะได้ราคาดีที่สุด
ซึ่งปีที่ผ่านมา คุณบัญชาเลือกปลูกขึ้นฉ่าย
เพราะเป็นผักชนิดหนึ่งที่มีราคาค่อนข้างดี ราคาเฉลี่ย 100 บาท ขึ้นไป
ในช่วงเทศกาล แต่ขึ้นฉ่ายเป็นผักที่สามารถปลูกได้เพียงครั้งเดียวในรอบ 3-5
ปี ไม่สามารถปลูกซ้ำพื้นที่เดิมได้
เนื่องจากจะประสบปัญหาเรื่องของโรคที่มีสาเหตุมาจากเชื้อราเป็นอย่างมาก
หากปลูกซ้ำในพื้นที่เดิมมักจะเกิดปัญหาโรคระบาด ผลผลิตเสียหาย
ทำให้การปลูกผักขึ้นฉ่ายของคุณบัญชานั้นเป็นเพียงการปลูกผักแบบเฉพาะกิจ
เมื่อครบรอบเวลาที่คิดว่าจะปลูกขึ้นฉ่ายได้อีกครั้ง
และตลาดมีแนวโน้มว่าราคาน่าจะดีที่สุด
ก็จะกลับมาปลูกผักขึ้นฉ่ายอีกครั้งหนึ่ง ก็จะได้ราคาดีเหมือนถูก “แจ๊กพ็อต”
นั่นเอง
ในปีที่ผ่านมา คุณบัญชา เลือกที่จะเพาะกล้าขึ้นฉ่ายช่วงเดือนสิงหาคม
แล้วเก็บเกี่ยวขึ้นฉ่ายขายราวเดือนตุลาคม ซึ่งในปีที่แล้ว วันออกพรรษา
ตรงกับ วันที่ 12 ตุลาคม 2554 ขึ้นฉ่ายของคุณบัญชาเก็บเกี่ยวได้พอดี
โดยคุณบัญชาปลูกขึ้นฉ่ายไว้ ประมาณ 6 ร่องแปลงปลูก โดย 1 ร่องแปลง
มีขนาดพื้นที่ ประมาณ 180 ตารางวา หรือเกือบ 2 งาน ใน 1 ร่องแปลงปลูก
หากคิดรวมกัน ประมาณ 3 ไร่ เท่านั้น
การเก็บขึ้นฉ่ายขายได้ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 100 บาท เป็นขั้นต่ำ
ซึ่งเก็บขึ้นฉ่ายขายต่อเนื่องราว 10 วัน วันละประมาณ 900-1,000 กิโลกรัม
พื้นที่แค่ 3 ไร่ ได้เงินเกือบล้านบาท นี้ไงคือ การทำ “เกษตรแจ๊กพ็อต”
การปลูก “ขึ้นฉ่าย” แบบคุณบัญชา เริ่ม
ต้นจากการเตรียมดินที่ต้องพิถีพิถันเป็นพิเศษ
ต้องเข้าใจถึงธรรมชาติของพืชผักแต่ละชนิด ว่ามีลักษณะอย่างไร
มีความต้องการปัจจัยในการเจริญเติบโตแบบไหน
อย่างขึ้นฉ่ายนั้นเป็นพืชรากตื้น
การเตรียมดินจึงไม่จำเป็นต้องขุดดินลึกมากนัก ใช้เพียงรถไถติดผาลตีดิน
ตีให้ละเอียด ลึกเพียง 2-3 นิ้ว ก็ใช้ได้
เคล็ดลับอยู่ที่แปลงปลูก จะใส่ขี้ไก่ แกลบ ประมาณ 60 กระสอบ
(อาหารสัตว์) ต่อร่องแปลงปลูก ตีกับดินให้ละเอียดจนดินฟู ขี้ไก่ แกลบ
นอกจากจะเป็นปุ๋ยคอกที่ช่วยให้ขึ้นฉ่าย งาม ใบเขียวแล้ว
ยังเป็นเคล็ดลับหนึ่งที่ช่วยให้ดินอุ้มน้ำเก็บความชื้นได้อย่างเหมาะสม
เพราะขึ้นฉ่ายเป็นพืชที่ชอบน้ำ ต้องการดินที่ค่อนข้างฉ่ำน้ำสักนิด
เปรียบเทียบกับแปลงที่ไม่ได้ใส่ขี้ไก่หรือใส่น้อย ก็ปลูกได้ไม่ดีเท่าไรนัก
และวิธีดังกล่าวทำให้คุณบัญชา
ไม่ต้องกางซาแรนบังแดดให้แปลงขึ้นฉ่ายเหมือนเกษตรกรท่านอื่น
ซึ่งถ้าต้องกางซาแรนบังแดดยาวตลอดทั้งแปลง นั่นหมายถึง
ต้นทุนที่ค่อนข้างสูง
เมล็ดพันธุ์ขึ้นฉ่าย คุณบัญชา เลือกใช้ขึ้นฉ่าย พันธุ์
“ซุปเปอร์โพธิ์ทอง” ของ บริษัท เจียไต๋ ซึ่งมีลักษณะเด่น คือ ต้นใหญ่
ต้นขาว ใบใหญ่ เป็นที่ต้องการของตลาด และมีการเจริญเติบโตที่เร็ว
ทนต่อสภาพอากาศร้อนได้ดี อายุการเก็บเกี่ยวหลังการหว่านราว 90 วัน
แต่การเลือกใช้เมล็ดพันธุ์นั้น
ก็ต้องเลือกดูสายพันธุ์ที่เหมาะสมกับพื้นที่นั้นๆ
ก่อนหว่านเมล็ดพันธุ์ควรรดน้ำให้กับแปลงปลูกพอหมาดก่อนล่วงหน้าสัก 1 วัน
เพื่อให้ดินมีความชื้น หว่านเมล็ดขึ้นฉ่ายให้ทั่วๆ
แปลงนั้นก็ต้องอาศัยความชำนาญในการหว่านเมล็ดให้มีความสม่ำเสมอ
จากนั้นคลุมด้วยฟาง รดน้ำตามให้ชุ่ม ดินก็จะละลายมากลบทับเมล็ดพอดี
ให้น้ำแปลงปลูกทุกวันในช่วงเช้าหรือเย็น
ไม่ควรรดน้ำแปลงปลูกในช่วงอากาศร้อนจัด เช่น เวลาเที่ยง
สวนผักของคุณบัญชาจะใช้เรือในการรดน้ำ ซึ่งสามารถให้น้ำได้ทั่วถึง
หรือเกษตรกรท่านอื่นก็ใช้ระบบน้ำแบบสปิงเกลอร์ก็ได้เช่นกัน
หลังจากหว่านเมล็ดพันธุ์ไปได้ราว 10-14 วัน เมล็ดขึ้นฉ่ายจะเริ่มงอก
โดยจะแทงรากออกมาก่อน แล้วจึงจะเห็นเป็นใบ
ช่วงระยะเวลาดังกล่าวสำคัญที่สุดของการดูแลรักษาขึ้นฉ่าย
อย่าให้แปลงปลูกขาดน้ำเป็นอันขาด แปลงต้องมีความชุ่มชื้น
เพื่อสามารถทนต่อสภาพอากาศร้อนได้ (เพราะแปลงปลูกไม่ได้กางซาแรนพรางแสงให้)
ถ้าดินแห้งจะทำให้รากหรือใบของต้นขึ้นฉ่ายแห้งตายได้ง่าย
และยังมีแมลงศัตรูพืชที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งคือ “จิ้งหรีด”
ที่ชอบมากินใบกัดต้นอ่อน การป้องกันจำกัด
จะต้องฉีดพ่นด้วยสารป้องกันกำจัดแปลง กลุ่ม “โอเมทโทเอท” โดยอัตราที่แนะนำ
คือ 20 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นให้ในช่วงแรก
การให้ปุ๋ยขึ้นฉ่ายในช่วงแรก
ต้นขึ้นฉ่ายยังคงได้ปุ๋ยจากปุ๋ยคอกที่อยู่ในแปลง แต่เมื่อต้นกล้าอายุได้ 1
เดือน จะมีใบจริง 2-5 ใบ เกษตรกรต้องใส่ปุ๋ยเคมีช่วย
โดยจะใช้ปุ๋ยเคมีสูตรเสมอ 16-16-16 หว่านบางๆ ให้ทั่วแปลงปลูก
โดยจะหว่านให้ทุกๆ 10-15 วัน ตามความเหมาะสม
โดยพิจารณาจากสภาพต้นและการเจริญเติบโตว่าดีมากน้อยเพียงใด ถ้าสังเกตว่า
ต้นขึ้นฉ่ายเจริญเติบโตไม่ดี หยุดชะงัก
ก็อาจมีการกระตุ้นการเจริญเติบโตด้วยการหว่านปุ๋ยยูเรีย (46-0-0)
ช่วยให้บ้างตามความเหมาะสม ซึ่งการให้ปุ๋ยเคมีทุกครั้งต้องให้น้ำตาม
จนกว่าปุ๋ยจะละลายจนหมดทุกครั้ง
นอกจากปุ๋ยเคมีที่ใส่ให้ทางดินแล้ว
เกษตรกรสามารถเสริมด้วยการฉีดพ่นปุ๋ยทางใบ ฮอร์โมน สารป้องกันกำจัดโรคแมลง
ตามความเหมาะสม โดยคุณบัญชาจะใช้ให้น้อยที่สุด เท่าที่จำเป็น
ซึ่งการแก้ปัญหาเรื่องโรค เช่น โรคใบด่างลาย โรคก้านใบแตก โรคใบไหม้ ใบจุด
ฯลฯ ซึ่งสาเหตุมาจากเชื้อรา คุณบัญชา อธิบายว่า
พื้นฐานของเชื้อราจะเจริญได้ดีในสภาพดินที่เป็นกรด ดังนั้น
ต้องแก้ไขดินให้เป็นด่าง เมื่อพบอาการของโรค คุณบัญชา จะเลือกใช้วิธีการใส่
“ปูนขาว” เพื่อปรับสภาพความเป็นกรดของดินให้เป็นด่าง
ทำให้สภาพดินไม่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตหรือแพร่กระจายพันธุ์ของเชื้อรา
ซึ่งเป็นวิธีที่ค่อนข้างได้ผลดี แต่ปูนขาวที่นำมาใช้นั้น คุณบัญชา แนะนำว่า
ต้องเป็นปูนขาวที่ได้จากเปลือกหอยเผาเท่านั้น นอกจากปรับสภาพดิน
ลดความรุนแรงและฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุของโรคพืชแล้ว
ยังมีธาตุอาหาร เช่น แคลเซียม
ช่วยทำให้ต้นผักหรือต้นขึ้นฉ่ายมีความแข็งแรงขึ้น
เมื่อต้นขึ้นฉ่ายมีอายุได้ 90 วัน ก็สามารถเริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิตได้
การเก็บเกี่ยว เกษตรกรจะเรียกกันว่า “ถอน”
โดยวิธีการเก็บเกี่ยวขึ้นฉ่าย หรือการถอน นั้นคือ
การดึงต้นขึ้นฉ่ายออกมาจากดิน เกษตรกรต้องแกะใบขึ้นฉ่ายที่เหลืองออก
และเขย่าเอาดินออก
(ดินจะหลุดออกจากรากง่ายเพราะเป็นผลจากการเตรียมดินที่มีส่วนผสมของขี้ไก่
แกลบ นั้นเอง) จากนั้นจะเข้ากำ โดยใช้หนังยางรัด
เวลาชั่งจะมีเคล็ดลับในการบรรจุที่เป็นวิธีที่ทำให้การบรรจุผักขึ้นฉ่ายลง
ถุงได้รวดเร็ว ใช้แผ่นฟิวเจอร์บอร์ดวางบนตาชั่ง
จากนั้นวางขึ้นฉ่ายที่เข้ากำแล้ว ประมาณ 5 กิโลกรัม นำถุงพลาสติกเหนียว
ชนิดเจาะรูมาสวม จับปากถุงฟิวเจอร์บอร์ดให้ห่อเข้า เพื่อให้เข้าถุงพอดี
หลังจากนั้น ดึงแผ่นฟิวเจอร์บอร์ดออก ก็จะสามารถใส่ขึ้นฉ่ายลงถุงละ 5
กิโลกรัม อย่างง่ายดายและรวดเร็ว
แต่เกษตรกรส่วนใหญ่ยังคงใช้วิธีม้วนปากถุงพลาสติกและใส่ขึ้นฉ่ายลงใน
ถุงทีละกำจนเต็มถุง แล้วเอาไปชั่งบนตาชั่ง ถ้าหนักเกิน 5 กิโลกรัม
ก็ดึงต้นขึ้นฉ่ายออก ตอนที่ดึงต้นขึ้นฉ่ายออก มักจะทำให้ผักช้ำ ต้นหัก
และเกิดการเน่าได้ง่าย ผักขึ้นฉ่ายมักจะถอนและเข้ากำบรรจุกันในแปลงปลูก
ซึ่งอากาศค่อนข้างร้อน เกษตรกรจึงต้องมีร่มขนาดใหญ่
คอยบังแดดให้เข่งหรือกองผักไม่ให้โดนแสงแดดโดยตรง
คุณบัญชา ฝากทิ้งท้ายว่า แม้ผักขึ้นฉ่ายเป็นผักที่มีราคาดี
แต่ก็ยังไม่สามารถปลูกได้อย่างต่อเนื่อง ปลูกซ้ำที่ไม่ได้
หรือได้ผลที่ไม่ดีเท่าไรนัก เคยให้นักวิชาการเกษตรเข้ามาศึกษา
ว่าพอจะมีแนวทางแก้ไขอย่างไรบ้าง ซึ่งก็ยังแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่ได้
จนในบางพื้นที่ต้องมีการปลูกขึ้นฉ่ายในถุงดำ เพื่อหนีปัญหาเรื่องโรค
ซึ่งก็สามารถผลิตออกมาได้ดี เป็นที่น่าพอใจ
แต่ก็ยังให้ผลผลิตได้ไม่สูงเท่าการปลูกลงดิน
ที่มา หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2555
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น