วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ปลูกอะไรดี (9) พริกและเห็ดบนพื้นที่แค่ 1 ไร่

“ทำสวนแค่ 1 ไร่ มีรายได้เดือนละกว่า 7 หมื่นบาท!” ปฐมบทของศูนย์การเรียนรู้ฯ จากหนี้สินกว่า 4 ล้านบาท ปลดหนี้ภายใน 4 ปี

“ทำสวนแค่ 1 ไร่ มีรายได้เดือนละกว่า 7 หมื่นบาท!” ปฐมบทของศูนย์การเรียนรู้ฯ จากหนี้สินกว่า 4 ล้านบาท ปลดหนี้ภายใน 4 ปี
ข้าพเจ้าเคยเล่นการเมืองท้องถิ่น(อบต.) อยู่ 2 สมัย ตำแหน่งสุดท้ายเป็นรองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลตาดข่า ใน 2 สมัยนั้นหมายถึง 8 ปี (พ.ศ.2540-2548) ข้าพเจ้าไม่มีเวลาไปประกอบอาชีพเลย เงินเก่าที่สะสมไว้ก็หมด และต้องกู้ยืมจากเพื่อนบ้าน วันแล้ววันเล่า จนทำให้ ข้าพเจ้านำครอบครัวเข้าสู่หนี้สินถึงจำนวนกว่า 4 ล้านบาท
จากนั้นตัดสินใจลงเวทีการเมือง มามองเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียง ตามปรัชญา ของพระองค์ท่าน ในหลวงของเรา ข้าพเจ้ามีพื้นฐานอยู่คือ มีที่ทำกินอยู่ 65 ไร่ เป็นมรดกจากคุณพ่อที่แบ่งเอาไว้ให้ เมื่อปี พ.ศ.2534 และหลังจากนั้นก็พยายามทำสวนอยู่บ้างแล้ว แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะไม่มีเวลาทำ ดินก็แห้งแล้ง และแหล่งน้ำก็ไม่พอ
อาชีพเกษตรที่น่าสนใจ1มีอยู่วันหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ปรึกษากับภรรยาของข้าพเจ้า และถามเธอว่า ตื่นเช้ามาแต่ละวันเธอจะต้องจ่ายเงินเท่าไหร่ เพราะตอนนั้นลูกสาว 2 คนกำลังเรียนอยู่ คนโตอยู่มหาวิทยาลัย อีกคนเล็กอยู่มัธยมใกล้บ้าน ภรรยาข้าพเจ้าตอบว่า จะต้องใช้ประมาณวันละ 1,000 บาท เพราะรวมถึงผ่อนดอกเบี้ยเงินกู้เขาด้วย ข้าพเจ้าได้คิดหนักอยู่ประมาณ 1 อาทิตย์ แต่ข้าพเจ้าวางกรอบให้ตนเองคิด หาเงินอยู่เฉพาะในที่ดินของตนเองเท่านั้น จะต้องใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัว ให้เวลามากๆ กับลูกๆ ไม่คิดที่จะไปหาเงินจากต่างถิ่น
ในที่สุดข้าพเจ้าก็คิดออก  โดยเริ่มต้นปลูกพริก 2 งาน ทำฟาร์มเห็ด 4 ฟาร์ม ในเนื้อที่ 1ไร่ เริ่มจากการไถพรวนดินยกร่อง กว้างประมาณ 1 เมตร ยาวตามแนวที่ดินได้ประมาณ 20 แปลง ปลูกพริกสายพันธุ์พริกส้ม ลักษณะเมล็ดดิบสีทอง เมื่อสุดสีออกส้ม รสเผ็ด จุดเด่นคือกลิ่นหอม ดูแลรักษาง่าย ที่ดินอีกส่วนหนึ่งข้าพเจ้าได้ทำฟาร์มเห็ด เพื่อเปิดดอกเอง จำนวน 4 ฟาร์ม กว้าง 5 เมตร ยาว 10 เมตร จะได้ก้อนเห็ดฟาร์มละ 5,000 ก้อน รวมจำนวน 20,000 ก้อน เป็นเห็ดนางฟ้าภูฐาน และเห็ดฮังการี่
เมื่อพริกอายุได้ประมาณ 3 เดือนก็เริ่มเก็บผลผลิตได้ ข้าพเจ้าตื่นแต่เช้า กับภรรยาคู่ชีวิตของข้าพเจ้า ใช้เวลาเก็บพริก ตั้งแต่ 6 โมงเช้า ถึง 3 โมงเช้า (06.00น.-09.00น.) เป็นเวลา 3 ชั่วโมง ได้พริกคนละ 10 กก. รวมเป็น 20 กก. ขายส่งกก.ละ 50 บาท เพราะเราทำเป็นพริกอินทรีย์ ราคาไม่มีตกกว่านั้น รวมเป็นเงิน 1,000 บาท ส่วนเห็ดนั้น ได้เริ่มเก็บผลผลิตตั้งแต่ เอาเข้าฟาร์มได้ 1 เดือน ฟาร์มเห็ด 4 ฟาร์ม แบ่งเป็นฮังการี 2 ฟาร์ม นางฟ้าภูฐาน 2 ฟาร์ม เก็บดอกเห็ดได้เฉลี่ยวันละ 40 กก. ราคากก.ละ 30 บาท รวมเป็นเงิน 1,200 บาท
อาชีพเกษตรที่น่าสนใจ2ดังนั้นในที่ดิน 1 ไร่ ของข้าพเจ้า แต่ละวันได้จากพริก 1,000 บาท ได้จากเห็ด 1,200 บาท รวมเป็นเงินวันละ 2,200 บาท หรือเดือนละ 66,000 บาท ซึ่งไม่ได้รวมถึง ช่วงไหนราคาพริกขึ้น หรือราคาเห็ดเพิ่มขึ้น ฉะนั้นข้าพเจ้าก็เลยเห็นทางออก และสามารถที่จะส่งลูกเรียนจบ ปริญญาตรี ได้ทั้ง 2 คน โดยไม่ได้ยืมจากกองทุนการศึกษาของรัฐบาลเลย ทั้งยังสามารถปลดหนี้สิ้นทั้งหมดได้ภายในเวลา 4 ปี
สุดท้ายนี้อยากจะให้กำลังใจ สำหรับพี่น้องที่เข้ามาอ่าน ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรานั้น มีทางออกอยู่หลายทาง และอีกทางออกหนึ่ง ภายใต้ปรัชญาแนวคิดเศรษฐ์กิจพอเพียง ของพระองค์ท่าน ในหลวงของพวกเรา สามารถเป็นหนึ่งทองออกที่ดีที่สุดและมั่นคงด้วย
ถ้าหากเรื่องนี้หรือเรื่องที่ข้าพเจ้าเขียนไว้นี้ มีท่านทั้งหลายได้เข้ามาอ่าน ข้าพเจ้าขออุทิศ บุญกุศลส่วนนี้ให้กับพระองค์ท่าน ในหลวงของเรา ให้พระองค์ท่าน มีพลานามัยที่สมบูรณ์ยิ่งๆขึ้นไป และขออุทิศให้กับ คุณพ่อเพลิน อินทรชัยศรี(เสียชีวิต) และคุณแม่ชม อินทรชัยศรี(ยังมีชีวิตอยู่) ผู้ซึ้งเป็นคุณพ่อและคุณแม่ของข้าพเจ้า ที่ได้มอบที่ดินมรดกตรงนี้ให้กับข้าพเจ้าและครอบครัว
ถ้าหากท่านสนใจในเรื่องราวมากกว่านี้ กรุณาติดตามบทความต่อไปได้ ในแฟนเพจแห่งนี้ หรือสนใจเรียนรู้ในสถานที่จริง ก็ไปเที่ยวสวนของข้าพเจ้าได้ ตามที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ที่เขียนเอาไว้
ผู้เขียน : เฉลิมชัย อินทรชัยศรี
facebook : http://www.facebook.com/LoeiCSL

“ทำสวนแค่ 1 ไร่ มีรายได้เดือนละกว่า 7 หมื่นบาท!” ปฐมบทของศูนย์การเรียนรู้ฯ จากหนี้สินกว่า 4 ล้านบาท ปลดหนี้ภายใน 4 ปี

แหล่งที่มา : kasetonline.com

ปลูกอะไรดี (8) อัญชัน ลงทุนน้อย รายได้งาม

อาชีพเสริมรับทรัพย์ !! ปลูกดอกอัญชันขาย ลงทุนน้อย รายได้งาม เป็นกอบเป็นกำ…
เป็นอีกหนึ่งอาชีพเสริมที่รับทรัทย์แบบไม่ต้องใช้เงินลงทุนมากมาย บานตะเกียง ที่ทีมงาน 108 อาชีพภูมิใจนำเสนอนั่นก็คือ การ ‘ปลูกดอกอัญชัน’ ขายทั้งแบบสด และตากแห้ง
ดอกอัญชัน
ดอกอัญชัน
แค่ปลูกดอกอัญชันทิ้งไว้ตามแนวรั้วก็เป็นอาชีพเสริมเพิ่มรายได้เงินเข้ากระเป๋าได้แบบสบายๆ
ปัจจุบันราคาดอกอัญชันสดที่แม่ค้าขนมรับซื้อเพื่อนำน้ำไปทำเป็นสีผสมในขนม แบบสด ตกกิโลกรัมละ 60 – 100 บาทเชียวนะคุณ ส่วนราคาดอกอัญชันตากแห้งจำหน่ายอยู่ที่ กิโลกรัมละ 250-500 บาท
สาเหตุที่ดอกอัญชันมีราคาสูง เป็นเพราะว่า ปัจจุบันได้รับความนิยมรับประทานอย่างกว้างขวาง ทั้งยังสกัดเป็นแชมพูสระผมก็มีมากหลายยี่ห้อ เนื่องจากเป็นดอกไม้ที่ให้คุณประโยชน์ต่อร่างกายเพราะมีสารแอนโธไซยานินที่ทำให้การไหลเวียนในหลอดเลือดเล็กทำงานได้ดีขึ้น ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการมองเห็น
ดอกอัญชัน
ดอกอัญชัน
และยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีคุณสมบัติเสริมภูมิต้านทานจากธรรมชาติช่วยป้องกันเชื้อแบคทีเรีย ป้องกันการแพ้ได้ด้วย คุณสมบัติที่หลากหลายของดอกอัญชันนี้ทำให้เป็นที่ต้องการของตลาด โดยเฉพาะดอกอัญชันสด
ด้านสรรพคุณทางยาก็น่าสนใจ เช่น ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดหัวใจอุดตัน ช่วยป้องกันโรคต้อกระจก ต้อหิน
เครื่องดื่มน้ำดอกอัญชัน
เครื่องดื่มน้ำดอกอัญชัน
ที่สำคัญทำให้เลือดไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆได้ดีมากขึ้น อย่างเช่นบริเวณรากผม ทำให้เส้นผมดกดำเป็นเงางาม
จะเห็นว่ามีการนำดอกอัญชันไปใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์หลายชนิดทั้งครีมนวดผม ยาสระผม ปลูกดอกอัญชันตากแห้งขาย จึงเป็นอาชีพอิสระที่น่าสนใจ
การปลูกดอกอัญชันขาย จึงนับว่าเป็นอาชีพอิสระอีกหนึ่งที่น่าสนใจ เนื่องจากสามารถทำควบคู่ไปกับงานอื่นๆ ได้อย่างสบาย เพราะสามารถเก็บดอกในช่วงเช้าๆที่อากาศไม่ร้อนมากนัก หากนำมาตากแห้งก็ไม่ต้องดูแลหรือใช้เวลามากแต่อย่างใด
ดอกอัญชันตากแห้ง
ดอกอัญชันตากแห้ง
วิธีการปลูกอัญชันก็ง่ายแสนง่าย แถมยังไม่ต้องดูแสรักษาให้มากวิธี…
เพียงนำต้นกล้าจากการเพาะเมล็ดมาปลูกลงแปลงปลูก ปัดรั้ว หรือไม้ระแนงเพื่อให้เถาอัญชันเลื้อยพาด หรือยึดเกาะเพื่อการทรงตัวได้ รดน้ำวันละ 2 ครั้ง ในช่วงเช้าและช่วงเย็น ขึ้นได้ดีในดินร่วนปนทราย ที่มีการระบายน้ำได้ดี
หรือจะปลูกในกระถ่างก็ยังสามารถทำได้ เพียงนำเมล็ดแก่มาเพาะบนสำลีที่ชุ่มน้ำ 2 วันก็งอกแล้วเจ้าค่ะ ประมาณ 1-2 เดือนก็เริ่มมีดอกให้เก็บแล้วค่ะ
14
ปลูกง่าย โตไว ได้ผลผลิตต่อเนื่องโดยไม่ต้องลงทุนอะไรให้มากมาย แล้วจะช้าอยู่ใย มาปลูกดอกอัญชันขายเสริมรายได้กันดีกว่าค่ะ… คุณขา…
 
อ่านแล้ว : 25313 ครั้ง
ติดต่อทีมข่าว : news@mthai.com

วันอังคารที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2557

*** เริ่มต้นมาเป็นเกษตรกร “มืออาชีพ” กันเถอะ ***

มาเป็นเกษตรกร “มืออาชีพ” กันเถอะ

 
เรียบเรียง : ขวัญชนก

หลายคนที่คิดอยากทำอาชีพทางการเกษตร แต่ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร? และเมื่อทำแล้วจะขายที่ไหน? …ตอนนี้มีทางเลือกใหม่สำหรับผู้ที่สนใจแล้ว เพราะขณะนี้ทาง สกว. ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จัดทำหลักสูตร “สร้างและพัฒนาเกษตรกรรุ่นใหม่” แบบเข้มข้น เพื่อให้คนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ และผู้ที่ประกอบอาชีพเกษตรกรอยู่แล้ว มีโอกาสได้เรียนและฝึกปฏิบัติเพื่อให้เกิด “ความชำนาญ และรู้จริงในสิ่งที่ทำ” สำหรับเป็นทางเลือกในการประกอบอาชีพ ไม่ว่าจะอยากผันตัวมาเป็นผู้ผลิตเอง หรือจะเป็นผู้รับซื้อเอง ก็จะได้มีความรู้ มีช่องทางในการจัดจำหน่าย มีรายได้ที่ไม่น้อยไปกว่าเงินเดือนในระดับปริญญาตรี แถมเมื่อจบหลักสูตรไปแล้วยังจะได้รับสิทธิ์ในที่ดินทำกินจาก ส.ป.ก. อีกด้วย

หลักสูตรที่ว่านี้แบ่งตามกลุ่มเป้าหมายเป็น 3 หลักสูตรคือ (1) หลักสูตรพัฒนาผู้นำเกษตรกรรุ่นใหม่ (2) หลักสูตรพัฒนาเกษตรกรมืออาชีพยุคใหม่ และ (3) หลักสูตรพัฒนาเกษตรกรอย่างยั่งยืน

หลักสูตรพัฒนาผู้นำเกษตรกรรุ่นใหม่เหมาะสำหรับบุคคลที่สนใจทั่วไป เช่น ผู้ว่างงาน แรงงานเลิกจ้าง ผู้ที่จบการศึกษาด้านเกษตรกรรม รวมถึงผู้ที่อยากผันตัวเองมาประกอบอาชีพนี้ มีอายุระหว่าง 20 – 45 ปี วุฒิการศึกษา ม. 6 ขึ้นไปหรือเทียบเท่า ใช้เวลาฝึกอบรมทักษะการประกอบอาชีพเกษตรกร 3 เดือน เมื่อผ่านการอบรมในหลักสูตรนี้แล้ว และมีความตั้งใจจริงที่จะทำอาชีพเกษตรกรรมจะได้รับสิทธิ์ทำการเกษตรในที่ดิน ของ ส.ป.ก. ตามหลักเกณฑ์และการประเมินผลที่กำหนด

 
คุณอุทิศ สวัสดิ์รักษ์
อายุ 40 ปี การศึกษา : ปริญญาตรี ด้านเกษตรศาสตร์
อาชีพเดิม : พนักงานบริษัท ประกอบกิจการส่วนตัว และเกษตรกร
สมัครเข้าร่วมโครงการในปี พ.ศ. 2554 (รุ่นที่ 3) ได้รับที่ดินจาก ส.ป.ก. จำนวน 5 ไร่

“อาชีพเกษตรกรรมเป็นอาชีพที่สุจริต สามารถทำให้เราประสบความสำเร็จในชีวิตได้ เหมือนกับอาชีพอื่น ๆ ...ขอให้เราตั้งใจจริง ทุ่มเท มีความรับผิดชอบ มีวินัยในการทำงาน รัก และศรัทธาต่ออาชีพของเรา”

ผมทราบข่าวการอบรมนี้จากหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ เห็นว่าเป็นโครงการที่ดีมาก จริงใจกับเกษตรกรรายย่อย ผมประกอบอาชีพเกษตรกรรมอยู่แล้วตั้งแต่จำความได้ จึงสมัครเข้าร่วมโครงการนี้ โดยหลังจากผ่านการอบรมแล้ว ผมได้นำความรู้หลายอย่างมาปรับใช้ในการบริหารจัดการและทำการเกษตร เวลาเราเข้าสู่พื้นที่จริงทุกอย่างต้องเริ่มต้นใหม่หมด ยกตัวอย่างเช่น ผมเริ่มต้นให้เราอยู่ในพื้นที่ให้ได้เสียก่อน โดยการปลูกพืชผักสวนครัวเอาไว้กินและขายเป็นรายได้เสริม จากนั้นออกสำรวจความต้องการของตลาดทั้งตลาดชุมชนและตลาดต่าง ๆ เพื่อนำข้อมูลมาวางแผนการทำงาน ก่อนจะปลูกพืช ผมจะทำการตรวจสอบคุณภาพของดินโดยใช้ชุดตรวจดิน และข้อมูลจากฐานข้อมูลของกรมพัฒนาที่ดินก่อน เป็นต้น

ทุกวันนี้พยายามจะสร้างตลาดที่เป็นของตัวเองให้ได้ ผลผลิตทุกอย่างต้องปลอดภัย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า ผมทำการเกษตรแบบครบวงจร กระจายความเสี่ยงของผลผลิต พิจารณาตลาด เงินทุน แรงงาน อุปกรณ์เครื่องมือ และกลุ่มเครือข่าย ประกอบก่อนการลงมือทำ

ผมได้รับความรู้ใหม่ๆ จากการเข้าอบรม รู้จักกลุ่มผู้นำเกษตรกรรุ่นใหม่ที่มีความจริงใจกับอาชีพเกษตรกรรม ไม่มีธุรกิจบังหน้าแอบแฝง รวมถึงมีหน่วยงานของราชการที่เป็นพี่เลี้ยงดูแลให้ความช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ ทำให้เกิดความมั่นใจได้ว่าเกษตรกรรายย่อยอย่างเรา จะไม่ถูกรังแก และมีความมั่นใจในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมมากขึ้น
 
คุณธนินโชตน์ เลิศนิธิธีรพร
อายุ 36 ปี การศึกษา : ปริญญาตรี
อาชีพเดิม : ประกอบอาชีพอิสระเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์แห่งหนึ่ง
สมัครเข้าร่วมโครงการในปี พ.ศ. 2555 (รุ่นที่ 5) ได้รับที่ดินจาก ส.ป.ก. จำนวน 5 ไร่

“ยากที่สุดคือการเริ่มต้น การเริ่มต้นนี้หมายถึงการเริ่มต้นที่จะต้องชนะใจตนเอง ไม่คิดถึงความลำบากเป็นที่ตั้ง แต่อยากให้มองเป็นเพียงแค่เหนื่อยในตอนเริ่มต้น แต่ผลผลิตที่ได้มันคุ้มค่าในระยะยาว ...ผมอยากจะบอกว่าเกษตรนี้ยั่งยืนจริงๆ ถึงไม่ขายเราก็ยังเก็บไว้กินเองได้ และยังเก็บเป็นมรดกให้ลูกหลานที่สนใจในอาชีพเกษตรกรได้อีกด้วย”

ได้มีโอกาสรู้จัก “โครงการสร้างและพัฒนาเกษตรกรรุ่นใหม่” จากคนรู้จัก จึงได้ศึกษาโครงการ เมื่อได้รับรู้ข้อมูลที่มากพอจึงตัดสินใจสมัครเข้าร่วมโครงการ เพราะคิดว่าถ้าเราทำสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ก็จะทำให้มีรายได้ที่พอเพียงต่อการดำรงเลี้ยงชีพ มีต้นทุนที่ไม่สิ้นสุดนั้นก็คือความรู้ ผลพลอยได้คือที่ดิน เปรียบเสมือนต้นทุนที่ไม่สิ้นสุดเช่นเดียวกัน อีกทั้งถ้ามีความรู้มากพอก็ยังสามารถแบ่งปันให้กับคนอื่นได้อีกด้วย

ที่วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี จังหวัดแพร่ ผมได้รับความรู้เกี่ยวกับเกษตร วิธีการเพาะปลูกพืชเบื้องต้น เมื่อเราได้ผลผลิตจึงออกนำขายโดยได้ศึกษาตลาดไว้ก่อนล่วงหน้า ตั้งเป้าหมาย กำหนดขั้นตอนตามความรู้ที่ได้รับจากการฝึกอบรม นอกจากนี้ผมยังได้เรียนรู้เรื่องการแปรรูป การทำแหนมเห็ด โดนัทกล้วยหอม วิธีทำไอสครีมด้วย เพราะไม่เช่นนั้นจะไม่มีรายได้ในระหว่างปลูกผักบุ้ง เพราะกว่าจะเก็บผักขาย กว่าจะปรับตัว ปรับดิน ปรับสิ่งอำนวยความสะดวก หาตลาด ทั้งหมดต้องใช้เวลาเป็นเดือน

ต่อมาเมื่อจบการอบรม พวกผมก็ได้ย้ายเข้าสู่พื้นที่ทดลองในศูนย์ปฏิบัติการสร้างและพัฒนาเกษตรกร รุ่นใหม่ จังหวัดสุโขทัย ผมได้สร้างแบรนด์ของตนเอง ผลิตภัณฑ์แรกที่ทำคือ น้ำนมข้าวโพดแร่ ในแผนธุรกิจของผม ข้าวโพดใช้เวลาเพาะปลูกนานที่สุด แรกๆ ผมหยอดที่ละสามเมล็ดตามที่เข้าใจ เมื่อได้ยินคำว่าเกษตรประณีต บ่อยๆ ผมได้ไปค้นคว้าหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต ปรึกษาพี่เลี้ยงพวกเรา จึงเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ เป็นการปลูกแบบไล่วันปลูกจะได้มีเก็บขายทุกวัน วิธีนี้ทำให้ผมสามารถคำนวณจำนวนฝักที่จะเก็บได้ว่าจะเก็บวันละกี่ฝัก ได้น้ำหนักกี่กิโลกรัม และหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตว่าข้าวโพดหวานทำอะไรได้บ้าง ก็ได้ข้อมูลหลายอย่าง แต่ผมเลือก การทำน้ำนมข้าวโพด เพราะจากข้อมูล ทั้งข้อมูลการบริโภค ข้อมูลสังคมที่ต่อไปผู้สูงอายุ และผู้ป่วยจะมีมากขึ้นในอนาคตอันใกล้ ข้อมูลคู่แข่งทางการตลาด รูปแบบของการใช้ชีวิตของคนเมือง แต่ต้องมีความต่างของผลิตภัณฑ์ ผมจึงนำน้ำแร่ที่ได้รับมาตรฐานเข้ามาเป็นส่วนประกอบ สร้างแบรนด์ ทำสื่อโฆษณา จัดทำข้อมูลประชาสัมพันธ์ผ่านทางโซเชียลเน็ตเวิร์ค กำหนดสูตร หาตลาด กำหนดการขาย ทำสมุดบันทึกรายรับ รายจ่าย

ปัจจุบันนี้ผมได้เข้ามาทำเกษตรในพื้นที่ทำกิน นิคมเศรษฐกิจพอเพียง ตำบลด่านศรีสุข อำเภอโพธิ์ตาก จังหวัดหนองคาย ผมได้นำกรรมวิธีเดียวกันทั้งหมดมาทำการต่อยอดผลิตภัณฑ์ น้ำนมข้าวโพดแร่ และได้คุยกับคนในชุมชนเดียวกันในเรื่องของน้ำนมข้าวโพดแร่ การปลูกข้าวโพดหวาน ทำให้ได้รับความสนใจจากคนในชุมชน จึงได้วางแผนการจัดตั้งกลุ่มเกษตรกรที่จะเข้าร่วมการผลิตน้ำนมข้าวโพดแร่ ภายใต้ชื่อ “กลุ่มเกษตรกรนิคมเศรษฐกิจพอเพียง ตำบลด่านศรีสุข” ในอนาคตเมื่อน้ำนมข้าวโพดแร่ เป็นที่รู้จักของผู้บริโภคแล้ว ผมตั้งใจจะทำผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปจากสับปะรด เพราะที่นี่ชาวบ้านนิยมปลูกสับปะรดส่งขาย และคัดสับปะรดที่ไม่ได้ขนาดทิ้งเยอะมาก ผมว่าถ้านำของทิ้งมาแปรรูปแล้วได้มูลค่าเพิ่มน่าจะเป็นทางเลือกอีกทางของ เกษตรกรในชุมชน ตำบลด่านศรีสุข
สูตรการทำน้ำนมข้าวโพดแร่
ส่วนผสมน้ำนมข้าว
• เนื้อข้าวโพด 5 กิโลกรัม • น้ำเปล่า 5 ลิตร • น้ำแร่ ๐.5 ลิตร
• น้ำเชื่อม 1๐๐ มิลลิลิตร • เกลือป่น 1/4 ช้อนชา • ครีมเทียม 100 กรัม
วิธีทำน้ำนมข้าวโพด
• ลอกเปลือกข้าวโพดออกล้างให้สะอาด แล้วฝานเมล็ดข้าวโพดบาง ๆ
• นำเมล็ดข้าวโพดต้มให้สุก นำมาปั่นให้ละเอียดแล้วกรอง
• นำส่วนผสมที่เหลือผสมลงในหม้อและนึ่งต่อที่อุณหภูมิ 80 องศาเซลเซียส
• ยกลงจากเตาบรรจุขวดแล้วแช่น้ำเย็นทันทีพร้อมจำหน่าย

 
หลักสูตรเกษตรกรมืออาชีพยุคใหม่ เหมาะสำหรับบุตรหลานเกษตรกรที่ศึกษาในระดับ ปวช./ปวส. ในวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี ซึ่งเมื่อจบการศึกษาและมีคุณสมบัติครบถ้วน จะได้รับสิทธิ์ในที่ดินของ สปก. รายละ 3-5 ไร่ จะได้รับสิทธิ์ทำการเกษตรในที่ดินของ ส.ป.ก. ตามหลักเกณฑ์และการประเมินผลที่กำหนด
 
อาจารย์สุกัญญา ใจฝั้น และ อาจารย์ประเวทย์ ใจฝั้น
อาจารย์ผู้ร่วมพัฒนาหลักสูตรเกษตรกรมืออาชีพยุคใหม่
วิทยาลัยเกษตรนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา


“ไม่ว่าเราจะประกอบอาชีพใดก็ตาม ขอให้มีความจริงใจในอาชีพ มีความภูมิใจในอาชีพ แล้วก็จะสามารถอยู่ได้ในอาชีพ อย่างมืออาชีพ (เป็นสิ่งที่ครูรอคอย) โดยเฉพาะอาชีพเกษตรกรรม”

ทุกครั้งที่ลงพื้นที่ ในระยะแรกๆ จะพบกับปัญหา แต่ความตั้งใจของลูกศิษย์ที่จะอยู่ในอาชีพนี้ ทำให้ครูกับศิษย์ก็ไม่เคยมองปัญหาเป็นอุปสรรค แต่กลับมองก้าวข้ามไปสู่การแก้ปัญหาทุกครั้ง บางเรื่องแก้ไม่ได้ในทันที บางเรื่องก็อยู่ที่ปลายจมูกเอง บ้างเรื่องก็สร้างความสุข สร้างความสามัคคี แต่ก็ยังต้องสู้ต่อ ...ปัญหาก็ไม่ได้หมดไป ปัญหาใหม่ก็มีมาเรื่อย ๆ ซึ่งเหตุการณ์และปัญหาที่ประสบมาก่อนหน้านี้ ได้สร้างภูมิคุ้มกันให้กับครูและลูกศิษย์

หลักสูตรนี้เป็นหลักสูตรที่สามารถสร้างผู้เรียนให้เกิดทักษะทางด้านอาชีพ เกษตรกรรมที่แท้จริง เป็นรูปธรรม คนทั่วไปรู้สึกได้ ผู้เรียนสามารถนำความรู้ไปประกอบอาชีพด้วยความมั่นใจ และเกิดความภูมิใจในอาชีพเกษตรกรรมได้อย่างเต็มภาคภูมิ
 
อาจารย์ธนพร แสนบุตร
วิทยาลัยเทคโนโลยีและการจัดการโนนดินแดง จ.บุรีรัมย์
อาจารย์ประจำแผนกวิชาเกษตรศาสตร์ ในโครงการสร้างและพัฒนาเกษตรกรรุ่นใหม่


“การเกษตรในทุกวันนี้ต้องเปลี่ยนวิธีคิดจากการผลิตที่พึ่งตนเองโดยใช้ฐาน ทรัพยากรหลักที่มีอยู่ มาเป็นการผลิตโดยใช้ความรู้ในการบริหารการจัดการเป็นหลัก เพื่อสร้างความได้เปรียบด้านการแข่งขัน”

หวังไว้ว่าการจัดการเรียนการสอนหลักสูตรนี้จะทำให้นักเรียน นักศึกษาที่จบจากหลักสูตรนี้มีทัศนคติที่ดีต่ออาชีพเกษตร มีความรู้และเกิดทักษะ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการประกอบอาชีพในอนาคตได้จริง สามารถประกอบอาชีพเกษตรได้อย่างยั่งยืน และเป็นต้นแบบที่ดี ความประทับใจที่มีต่อลูกศิษย์หลังจากจบหลักสูตรนี้ไปแล้ว คือ ลูกศิษย์สามารถนำความรู้ที่สอนไปวางแผนประกอบธุรกิจของตนเองได้ในฐาน ทรัพยากรที่มีอยู่ได้อย่างสมบูรณ์ในพื้นที่จำกัด และสามารถเป็นผู้นำทางด้านเกษตรได้
 
หลักสูตร “พัฒนาเกษตรกรอย่างยั่งยืน” เหมาะสำหรับผู้ที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมอยู่แล้ว และสนใจที่จะใฝ่หาความรู้และทักษะเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มผลผลิตหรือใช้ประโยชน์ ในที่ดินของตนเองให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยจะได้รับการฝึกอบรมผ่านเครือข่ายเกษตรกรรม อาทิ เครือข่ายปราชญ์เกษตร ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง กลุ่มเกษตรอินทรีย์ ใช้เวลาฝึกอบรมประมาณ 4-6 เดือน ซึ่งหลักสูตรนี้จะเน้นฝึกเรื่องการคิด วิเคราะห์ เช่น วิธีการจดบันทึกข้อมูลครัวเรือน การทำบัญชีฟาร์ม การดำรงชีพตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และถือเป็นกลุ่มคนส่วนใหญ่ที่จะได้รับการเชื่อมโยงความรู้เพื่อยกระดับการ จัดการตนเองและมีความสามารถในการปรับตัวที่ดี
 
คุณเฉลิม สายโสภา
อายุ 48 ปี ชาวจังหวัดพิษณุโลก
ประกอบอาชีพเกษตรกรมาเป็นเวลา 20 ปี
สมัครเข้าร่วมโครงการในปี พ.ศ. 2552 รุ่นที่ 1


“อาชีพเกษตรกรนั้นเป็นอาชีพที่ไม่จำกัดวุฒิการศึกษา เพียงแค่เรามีใจรักในอาชีพให้มากๆ รู้จักมีการทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย ทั้งต้นทุนการผลิต ต้องรู้จักว่าพื้นที่ของเราเหมาะสมกับพืชชนิดใด กล้าเสี่ยง ขยันอดทนให้มากๆ”

หลังจากการฝึกอบรมในหลักสูตรนี้แล้ว ทำให้ได้รับความรู้เรื่องชุดตรวจดินหาค่าธาตุอาหารในดิน (NPK) และยังได้ร่วมกับเกษตรจังหวัด ไปเป็นวิทยากรในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และเผยแพร่เรื่องดินและปุ๋ยสั่งตัดใน จังหวัดพิษณุโลก และอำเภอต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาเรื่องดิน

นอกจากนี้ยังได้นำความรู้ที่จากหลักสูตรมาใช้ในการจัดการที่ดินทำกิน โดยการใช้ชุดตรวจสอบดินเพื่อหาค่าธาตุอาหารในดินว่าดินมีค่าธาตุอาหารเป็น อย่างไร แล้วจึงจะผสมปุ๋ยใช้เองตามสภาพดิน ความรู้เรื่องวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพของดิน หลังจากฤดูการเก็บเกี่ยวเสร็จแล้ว จะใช้การไถกลบตอซังแทนการเผาทำลาย และมีการหว่านถั่วต่างๆเพื่อคลุมหน้าดิน และยังสามารถไถกลบเป็นปุ๋ยได้ด้วย และความรู้เรื่องการทำบัญชีครัวเรือน ด้วยการจดบันทึกรายรับรายจ่ายของครอบครัวอยู่เสมอ เพื่อที่เราจะได้รู้ถึงที่มาที่ไปของเงิน และยังทำให้เรารู้ถึงการใช้จ่ายในส่วนที่ไม่จำเป็นด้วย

ปัจจุบันพอทำได้เองแล้ว ก็มีโอกาสได้ถ่ายทอดความรู้ให้เพื่อน ๆ ในชุมชนเดียวกันโดยการหนุนเสริมของ ส.ป.ก. และ สกว. ด้วย
 
คุณประดิษฐ์ ใจรังษี
นักวิชาการปฏิรูปที่ดินชำนาญการ
ผู้อำนวยการกลุ่มปฏิรูปการจัดการและพัฒนาเกษตรกร
สำนักงานการปฏิรูปที่ดิน จังหวัดพิษณุโลก


“หากสามารถเข้าใจตนเองและมีทัศนะที่ดีต่อการเกษตรแล้ว ก็จะสามารถเป็นเกษตรกรที่ประสบผลสำเร็จในอาชีพการเกษตรได้เป็นอย่างดี”

หวังว่าการจัดการเรียนการสอนลักษณะนี้จะทำให้เกษตรกร มีความเป็นอยู่ที่มั่นคงและยั่งยืน คือ สามารถพึ่งตนเองได้ พึ่งผู้อื่นหรือปัจจัยภายนอกให้น้อยที่สุด ในเบื้องต้นหวังให้เกษตรกรสามารถลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้ก่อน กล่าวคือ มีรายได้เท่าเดิม แต่สามารถลดต้นทุนการผลิตได้ หรือมีต้นทุนการผลิตเท่าเดิม แต่มีผลผลิตและรายได้มากขึ้น

การทำให้เกษตรกรมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ถือเป็นความสำเร็จของการพัฒนาศักยภาพของเกษตรกร ส่วนความประทับใจที่เกิดขึ้นจากโครงการนี้คือ เกษตรกรที่เข้ารับการฝึกอบรมได้ตั้งใจนำความรู้ไปปรับใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ ที่ดำเนินการอยู่ ได้อย่างเป็นรูปธรรม เกิดกลุ่มสนใจ กลุ่มเรียนรู้ และกลุ่มกิจกรรมเป็นจำนวนมาก และแต่ละกลุ่มก็สามารถปฏิบัติได้เป็นอย่างดี เหตุผลสำคัญที่ทำให้เกิดผลเหล่านี้คือ การให้เกษตรกรได้มีส่วนร่วมในทุกขั้นตอน ทำให้การเรียนการสอนตรงกับปัญหาและความต้องการของเกษตรกรโดยแท้จริง

ถามตนเองแล้วหรือยังว่า “รักการเกษตรจริงหรือ”
ถามตนเองแล้วหรือยังว่า “ชอบทำการเกษตรหรือไม่”
ถามตนเองแล้วหรือยังว่า “ทำการเกษตรแล้วจะยั่งยืนอย่างไร”
อย่าถามคนอื่นว่าทำอะไรดี “ต้องถามตัวเองว่าชอบและอยากทำอะไร” ( เพราะว่าทุกคนจะทำสิ่งที่เราชอบได้ดีที่สุด )
 
สนใจสมัครเข้าร่วมอบรมหลักสูตรใด ติดต่อได้ที่สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.)
โทร. 081-777-1990 (คุณวินัย) http://www.alro.go.th
แหล่งที่มา : ประชาคมวิจัย    ฉบับที่ : 105    หน้าที่ : 14    จำนวนคนเข้าชม : 1720   คน

วันศุกร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2557

ปลูกอะไรดี (7) "มะระ" รายได้ 27,000 บาท/เดือน/ไร่

วันอาทิตย์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2554


ถูกเลิกจ้าง มุ่งหน้าเป็นเกษตรกร-ตั้งใจปลูกผักขาย

เกษตรกรรม เป็นอาชีพที่เหนื่อยถ้าไม่รักจริง
ส่วนอาชีพรับจ้างหรือพนักงานบริษัททั่วไป ถ้าผลประกอบการไม่ดี ก็แย่เหมือนกัน มีสิทธิถูกเลิกจ้างอย่างแน่นอน
เช่นเดียวกับ คุณวิศนุ-คุณเพชรรินทร์ หว่านพืช
สองสามีภรรยาที่ถูกเลิกจ้างจากบริษัทตกแต่งภายใน จังหวัดกาญจนบุรี

ในขณะที่ถูกเลิกจ้าง ทั้งคู่อายุก็มากพอควรสำหรับการที่จะเริ่มต้นเป็นลูกจ้าง ที่สำคัญมีบุตรต้องเลี้ยงดูอีกด้วย

คุณ เพชรรินทร์ เล่าว่า ถูกเลิกจ้างทั้ง 2 คน ตอนแรกก็เคว้งเหมือนกัน แต่ด้วยความชอบด้านเกษตร
ตอนที่ทำงานบริษัท บ้านมีพื้นที่นิดหน่อยก็ปลูกผักสวนครัว พอออกมาก็มุ่งด้านเกษตร

เข้าอบรมเกษตรจึงเริ่มปลูกมะระ

"พอมีโครงการของรัฐช่วยผู้ตกงานให้ฝึกวิชาชีพ
จึงเลือกอบรมเกษตร ทางวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีกาญจนบุรี อบรมให้" คุณเพชรรินทร์บอก

หลังจากที่อบรมแล้ว ได้รับการจัดสรรที่ดินจากสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม เขตนิคมฯ วังดัง
จำนวน 5 ไร่ ตอนนี้ปลูกผักชี แต่ยังไม่ได้สิทธิครอบครอง ต้องทดลองทำงานเกษตร
อีกทั้งทางการต้องการความมั่นใจว่า ผู้ที่ได้รับจัดสรรต้องการทำงานเกษตรอย่างแน่นอน

ในขณะที่อบรมนั้น ทำโครงการปลูกมะระ
เพื่อที่จะนำมาปลูกในพื้นที่สำนักงานการปฏิรูปที่ดิน เพื่อการเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ที่ได้รับจัดสรร
สาเหตุที่เลือกปลูกมะระเพราะปลูกง่ายเติบโตเร็ว ได้ผลผลิตเร็ว สามารถปลูกได้ในดินทุกชนิดและทุกฤดูกาล

มะระที่ปลูก ใช้พันธุ์เขียวหยก 16 แข็งแรงทนทาน เริ่มจากการเตรียมต้นกล้า
เพาะต้นกล้าในภาชนะสำหรับเพาะต้นกล้าในทราย ปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยคอกที่สลายตัวดีแล้ว
และดินละเอียดอย่างละเท่าๆ กัน เจาะหลุมหยอดเมล็ด กลบด้วยดินบางๆ รดน้ำเช้า-เย็น


วิธีการเตรียมดิน
เริ่มจากไถดินให้ลึก 30-40 เซนติเมตร ตากดินไว้ 7-10 วัน ย่อยดินให้ละเอียด
หว่านปูนขาวในอัตรา 100-200 กิโลกรัม/ไร่ พร้อมใส่ปุ๋ยหมักและปุ๋ยคอก อัตรา 2,000 กิโลกรัม/ไร่
ใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 30 กิโลกรัม/ไร่ คลุกเคล้าในแปลง
ยกแปลงสูงประมาณ 30 เซนติเมตร กว้าง 120 เซนติเมตร
รดน้ำและคลุมด้วยพลาสติคเพื่อรักษาความชื้นและป้องกันวัชพืช

ย้ายต้นกล้าปลูกเมื่อกล้ามีใบจริง 4-5 ใบ หรืออายุ 15-20 วัน จึงย้ายลงปลูกในแปลงปลูก 1-2 ต้น ต่อ 1 หลุม
ระยะปลูกระหว่างต้นประมาณ 50-75 เซนติเมตร ระหว่างแถว 100-120 เซนติเมตร

สำหรับการดูแลรักษานั้น
ต้องให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ ตั้งแต่ปลูกจนถึงเก็บเกี่ยว โดยเฉพาะช่วงออกดอกและติดผล

หลัง ย้ายปลูก 7-10 วัน ใส่ปุ๋ยสูตร 46-0-0 อัตรา 30 กิโลกรัม/ไร่
เพื่อเร่งการเจริญเติบโตใส่ปุ๋ยสูตร 13-13-21 อัตรา 30-50 กิโลกรัม/ไร่ โดยทยอยแบ่งใส่ในช่วงออกดอกติดผล

วิธีการทำค้าง สามารถทำได้ 2 แบบ คือ

1. ปักไม้ค้างยาว 2-2.25 เมตร ทุกหลุมเอนปลายเข้าหากันและมัดไว้ด้วยกัน
ใช้ไม้ค้างหรือเชือกไนล่อนผูกขวางทุกระยะ 40-50 เซนติเมตร
หรือใช้ตาข่ายพลาสติคห่างขึงแทนด้านบนของค้าง ใช้ไม้ค้างพาดขวางมัดกันให้แน่น เพื่อป้องกันการโค่นล้ม

2. ปักไม้ค้างผูกเป็นร้านสูงประมาณ 1.5-2 เมตร ขึงด้วยตาข่ายพลาสติคตาห่างๆ

คุณเพชรรินทร์ บอกว่า การถอนวัชพืชที่ขึ้นอยู่ใกล้ต้นมะระต้องระมัดระวัง ถอนเบาๆ อย่าให้กระเทือนระบบราก

ศัตรูที่พบ มีโรคราน้ำค้าง
ก่อนปลูกคลุมเมล็ดด้วย เมตาแลกซิล 7 กรัม/เมล็ด 1 กิโลกรัม
หลังปลูกฉีดพ่นด้วยแมนโคเซบ อัตรา 30 กรัม/น้ำ 20 ลิตร

การเก็บเกี่ยวและตลาด
อายุเก็บเกี่ยวของมะระประมาณ 45-50 วัน ทยอยเก็บผลผลิตที่ได้ขนาดที่เหมาะสมทุกวันหรือวันเว้นวัน
สามารถเก็บได้ 17-20 ครั้ง อายุถึงเก็บเกี่ยวผลผลิตครั้งสุดท้าย 85-90 วัน ผลผลิตประมาณ 4,000-6,600 กิโลกรัม/ไร่

สำหรับต้นทุน ค่าแรงงาน 3,840 บาท ค่าวัสดุ 3,380 บาท
และผลตอบแทน ผลผลิต 4,500 กิโลกรัม/ไร่ ราคาเฉลี่ย 6 บาท/กิโลกรัม
รายได้เฉลี่ย 27,000 บาท กำไรประมาณ 19,780 บาท

คุณ เพชรรินทร์ ยังกล่าวอีกว่า ตอนนี้ยังลงเรียนระดับ ปวส. ของวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีกาญจนบุรี
โดยให้เหตุผลว่าเมื่อใจรักที่จะทำเกษตรก็ต้องให้รู้จริง แม้จะเป็นลูกหลานชาวไร่-ชาวนา ได้วิชาของพ่อแม่มาบ้าง
แต่สิ่งหนึ่งที่ได้ในสถาบันการศึกษาคือหลักวิชาการ เพื่อที่จะได้นำมาวางแผนหรือประยุกต์ใช้

"แม้อายุจะ 40 ปีแล้ว ก็ยังไม่แก่เกินเรียน เพราะที่นี่จะมีภาคประชาชนสำหรับผู้ที่ต้องการแสวงหาความรู้จริงๆ"
คุณเพชรรินทร์บอก

สำหรับ ท่านใดต้องการคำปรึกษาด้านการเกษตรติดต่อได้ที่ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนยีกาญจนบุรี 1
หมู่ที่ 5 ตำบลหนองหญ้า อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี 71000 โทร. (034) 552-106-7

รายงานโดย ชำนาญ ทองเกียรติกุล
คอลัมน์ เทคโนโลยีการเกษตร นิตยสาร เทคโนชาวบ้าน
วันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 23 ฉบับที่ 495
ที่มา : http://info.matichon.co.th
ภาพจาก : http://yamrow.brinkster.net

ปลูกอะไรดี (6) "ชะอม" รายได้ 12,000 – 15,000 บาท/เดือน/ไร่

การปลูกชะอม



การปลูกชะอม
         ชะอม เป็นผักพื้นบ้าน คนนิยมรับประทานกันทั้งประเทศ เป็นผักที่มีคุณค่าทางอาหารสูง จะรับประทานสด เป็นผักลวก ทำเป็นแกงเลียง ชุบไข่ทอด ก็ล้วนแต่อร่อย รากชะอมมีสรรพคุณทางยา รสร้องเผื่อน แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ขับลมในลำไส้ แก้ปวดเสียวในท้อง ยอดชะอมเป็นพืชผักที่ตลาดมีความต้องการสูง เจริญเติบโตได้ในทุกสภาพดิน ไม่ว่าจะเป็นดินเหนียวดินร่วนดินทราย
         การปลูกชะอม หากเป็นเขตนอกชลประทาน ควรปลูกในฤดูฝน เพราะดินจะชุ่มชื้น หากอยู่ในเขตพื้นที่ชลประทาน จะปลูกในช่วงใดก็ได้ การปลูกชะอมเริ่มต้นด้วยการยกร่องให้สูงประมาณ 60 เซนติเมตร มีความห่างระหว่างแปลง 80-100 เซนติเมตร ผสมปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอกลงในดิน รดน้ำให้ชุ่ม หากิ่งพันธุ์กลางอ่อนกลางแก่ ตัดให้ได้ความยาว 6-8 นิ้ว นำมาปักลงในแปลงที่เตรียมไว้ โดยปักให้เอียง 45 องศา ลึกลงในดิน 2 นิ้ว ระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 50 เซนติเมตร จากนั้นนำฟางข้าวมาคลุมบางๆ เพื่อให้เกิดความชุ่มชื้น รถน้ำให้ชุ่ม พื้นที่ 1 ไร่ ใช้กิ่งพันธุ์ประมาณ 3,200 ต้น
          เมื่อปลูกชะอมแล้วควรรดน้ำทุกๆ 7 วัน และเสริมด้วยปุ๋ยแห้ง (ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก) เดือนละครั้ง ก็เก็บเกี่ยวได้แล้ว โดยเลือกตัดยอดอ่อนให้มีความยาวประมาณ 8-10 นิ้ว ควรเก็บในตอนเช้าจะได้ยอดชะอมสด หากเก็บในตอนแดดออกยอดชะอมจะคายน้ำเร็วยอดชะอมจะเหี่ยวเร็ว ศัตรูพืชของชะอมจะเป็นพวกเพลี้ยแดง ทำให้ยอดชะอมม้วนเป็นก้อนกลม ป้องกันได้โดยพ่นฉีดน้ำหมักไล่แมลงทุกๆ 10 วัน
         น้ำหมักไล่แมลงมีส่วนผสมดังนี้ หัวข่าแก่ ตะไคร้หอม สะเดาอย่างละ เท่าๆ กัน นำมาตำและใส่น้ำให้จมแล้วหมักไว้ หมักไว้ประมาณ 5 วัน ก็นำไปฉีดพ่นกับแมลงต่าง ตลอดจนถึงเพลี้ยก็ไม่กล้ามากัดกิน น้ำหมักไล่แมลงไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค ชะอมหากได้รับการเอาใจใส่ดูแลเป็นอย่างดีให้ปุ๋ยทุกๆ 15 วัน รถน้ำให้เกิดความชุ่มชื้น ก็จะเก็บเกี่ยวได้ทุก 4 วัน
          พื้นที่ 1 ไร่ 3,200 ต้น เก็บเกี่ยววันละ 800 ต้น จะได้ประมาณ 100 กำ กำละ 4-5 บาท ก็จะมีรายได้วันละ 400-500 บาทต่อวัน ทุกวัน ในรอบเดือนก็จะมีรายได้วันละ 12,000 – 15,000 บาท ทุกเดือน ในพื้นที่เพียง 1 ไร่ หากอยากมีรายได้มากกว่านี้ก็ให้เพิ่มพื้นที่การปลูก อยากมีรายได้เดือนละ 50,000 บาท ก็ให้ปลูกชะอม 4 ไร่ ไม่รวยก็ให้รู้กันไป

อ้างอิงที่มาจาก หนังสือ ชี้ช่องทางการทำกิน  โดยอาจารย์   สมพล    รักหวาน

ผู้พิมพ์  นาย อนุสรณ์  ชลเกษม

ปลูกอะไรดี (5) "ผักหวานบ้าน" รายได้ 6,000-9,000 บาท บาท/เดือน/ไร่

การปลูกผักหวานบ้าน


ปลูกผักหวานบ้านขายได้เงินเร็ว

ผัก พื้นบ้านทั่วไปหลายชนิดที่ผู้บริโภคทั่วไปให้ความนิยม เกษตรกรเองก็มีความนิยมบริโภค ควรจะปลูกไว้ประจำครัวเรือน มีพื้นที่มากก็ปลูกมาก มีพื้นที่น้อยก็ปลูกน้อย หากปลุกได้มากเหลือจากการบริโภคก็ขายได้ การตลาดปัจจุบันอย่านั่งรอให้คนมาซื้อที่บ้าน หากปลูกผักหลายๆชนิด เอาไปขายตลาดเช้า ตลาดเย็น เดี๋ยวนี้เกษตรกรมีรถกันหมดแล้ว รถมอเตอร์ไซค์คันเดียวก็ขนผักไปขายได้ไม่น้อย มีรายได้วันละ 400-500 บาท หรับเกษตรกรถือว่าเป็นรายได้ที่ดี

         ผักหวานบ้าน ที่กำลังจะกล่าวนี้ เป็นผักที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง สมัยก่อนผู้ใหญ่จะเก็บมาจากป่า มาประกอบเป็นอาหารสำหรับนำมารับประทานในครัวเรือน แกงเลียง แกงส้ม ผัดกับหมู ผัดกับไก่ และ เนื้อวัว ผักลวกรับประทานกับน้ำพริก หรือ จะรับประทานแบบสดๆก็ได้ ขณะนี้ความต้องการในท้องตลาดยังคงมีอยู่สูงและราคายังดีมากๆ การปลูกผักหวานจึงเป็นช่องทางสร้างรายได้ที่ดีอีกทางหนึ่ง ผักหวานเป็นพืชที่เจริญเติบโตได้ดีในทุกสภาพดิน แต่ต้องมีน้ำหล่อเลี้ยงอย่างเพียงพอ ก่อนจะปลูกเกษตรกรควรที่จะยกร่อง เพื่อความสะดวกในการระบายน้ำในกรณีที่ฝนตกหนัก การปลุกผักหวานจะใช้วิธีปักชำหรือเพาะเมล็ดก็ได้ แต่การปักชำจะสะดวกกว่า เลือกกิ่งกลางอ่อนกลางแก่ตัดให้ได้ความยาวประมาณ 1 คืบ ปักลงในแปลง ระยะห่างระหว่างต้น 50เซนติเมตร ระหว่างแถว 1 เมตร ผักหวานบ้านเป็นพืชที่ปลูกง่าย แตกรากได้เร็ว หากปลูกในช่วงฤดูฝน ประมาณ 7-10 วัน รากก็จะจับดินแล้ว ไม่ต้องเพาะในถุงก็ได้ พื้นที่ 1 ไร่ปลูกได้ 3200 ต้น

          การปลูกผักหวานแนวชีวภาพ จะมีโรคและแมลงรบกวนน้อยมากควรให้ปุ๋ยหมักทุก 15 วัน และเสริมด้วยปุ๋ยน้ำการเสริมด้วยปุ๋ยน้ำทุก 7 วัน จะฉีดพ่นทางใบหรือรดราดทางดินก็แล้วแต่สะดวก การให้น้ำจะต้องสม่ำเสมอ เนื่องจากพืชที่ให้ยอดต้องการน้ำมาก หากได้ให้น้ำแบบสปริงเกลอร์ก็จะดีมาก น้ำจะสม่ำเสมอ เนื่องจากพืชที่ตัดยอดจะต้องการน้ำมาก หากได้ให้น้ำแบบสปริงเกลอร์ก็จะดีมาก น้ำจะสม่ำเสมอ ผลผลิตจะสูง การเสริมด้วยปุ่ยน้ำเราจะปล่อยไปกับน้ำ ทำให้ทุ่นแรงประหยัดเวลา
          หลังจากปลูกประมาณ 3 เดือน ก็เก็บเกี่ยวยอดได้แล้ว พอยอดถูกเด็ดก็จะเกิดยอดใหม่ และจะแตกไปเรื่อยๆ ควบคุมความสูงไว้ให้พอดีเมื่อต้นผักหวานอายุ 6 เดือนขึ้นไป ผลผลิตเข้าที่แล้ว คือเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ 20-30 กิโลกรัมต่อพื้นที่ 1 ไร่ ต่อวัน หากราคากิโลกรัมละ 30 บาท 
ก็มีรายได้แล้ว 600-900 บาทต่อการเก็บเกี่ยว 1 ครั้ง คือ เก็บ 1 ครั้ง เว้น 3 วัน พื้นที่ 1 ไร่ จะมีรายได้จากการขายผักหวาน 6,000-9,000 บาท บาทต่อเดือน ต้องการเท่าไหร่ก็ให้ขยายพื้นที่ปลูกออกไป ผักหวานเป็นพืชที่เก็บเกี่ยวได้ยาวนาน สร้างงานสร้างเงินได้ทุกวัน หากขยันดูแล ขยันเก็บเกี่ยวได้ยาวนาน สร้างงานสร้างเงินได้ทุกวัน หากขยันดูแล ขยันเก็บเกี่ยวปลูกผักหวานให้ได้สัก 3 ไร่ รายได้ดี มีอนาคตที่ดีแน่นอนครับ

ที่มาจาก หนังสือชี้ช่องทางการทำกิน   โดย อาจารย์ สมพล รักหวาน
นาย อนุสรณ์ ชลเกษม ผู้พิมพ์เอกสารฉบับนี้
http://anusorn911.blogspot.com/2011/02/blog-post.html 

################################################################
################################################################

วันอาทิตย์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554


ผักหวานลูกผสมไทย-จีน ปลูกง่าย ได้เงินหวานๆ

ผักหวานลูกผสมไทย-จีน ปลูกง่าย ได้เงินหวานๆ

ในแวดวงชาวสวนผู้เพาะพันธุ์ไม้จำหน่าย คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักชื่อของ คุณอรุณ ณรงค์ชัย
อดีตประชาสัมพันธ์ประจำจังหวัดเชียงราย เพราะในสมัยที่ไปดำรงตำแหน่งอยู่ที่จังหวัดปราจีนบุรี
เขาเคยปลุกปั้นให้ชาวสวนที่นั่นสามารถลืมตาอ้าปากได้ ด้วยการเพาะขยายพันธุ์ไม้จำหน่าย
แทนการเก็บเกี่ยวผลผลิตขายเพียงอย่างเดียว และจากประสบการณ์ที่คลุกคลีอยู่กับแวดวงพันธุ์ไม้มาเกือบทั้งชีวิต
ทำให้เขามองเห็นอนาคตอันสดใสของผักพื้นบ้านชนิดหนึ่ง ซึ่งนอกจากจะปลูกง่ายแล้ว
ยังเก็บเกี่ยวขายได้ราคาดีตลอดทั้งปีด้วย ผักที่ว่านั้นก็คือ ผักหวานลูกผสมไทย-จีน

ปลุกชีวิตพันธุ์ไม้ สร้างรายได้ให้ชาวปราจีนฯ

เราเดินทางมาพบ คุณอรุณ ณรงค์ชัย ณ ร้านปราจีนบุรีรวมพันธุ์ไม้ ตรงข้ามโรงเรียนเมืองเชียงราย
ใกล้สี่แยกศรีทรายมูล ตำบลรอบเวียง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย

"ที่ชื่อร้านปราจีนบุรีรวมพันธุ์ไม้ เพราะเดิมทีเมื่อปี 2529 ผมไปรักษาการประจำจังหวัดปราจีนบุรี
ช่วงนั้นชาวปราจีนบุรีเอง ยังไม่ค่อยได้เอาพันธุ์ไม้อะไรมาขายกันหรอก
ผมก็ได้มีโอกาสช่วยแนะนำ เพราะผมเคยอยู่ที่ตลิ่งชัน พุทธมณฑลมา 16-17 ปี
แถวนั้นต้องยอมรับว่า เป็นแหล่งที่ผลิตพันธุ์ไม้มาก่อนใครเขาในประเทศ แต่เนื่องจากยิ่งผลิตพื้นที่ก็เหลือแคบลงๆ
เพราะบ้านจัดสรรเต็มไปหมด ผมได้คลุกคลีกับชาวบ้านชาวสวน ได้เห็น
พอเราย้ายไปปราจีนฯ จึงเอาความรู้ไปเผยแพร่ ก็ได้ผล เพราะนอกจากแนะนำแล้ว เรายังทำข่าวด้วย
เพราะเป็นประชาสัมพันธ์ เวลามีการจัดงานวันเกษตร เราจะเชิญผู้สื่อข่าวรายการโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์
อะไรต่อมิอะไร เอารถบัสไปรับที่สนามหลวงเลย เราจัดแถลงข่าวในสวน เข้ามารับประทานข้าวในสวน
เดินดูสวน คือสมัยก่อนเราทำแบบถึงลูกถึงคน"

คุณอรุณ ชิงบอกเราเหมือนจะรู้ว่าเรากำลังจะถามอะไร

"ใหม่ๆ ชาวบ้านไม่รู้ว่าการทำกิ่งพันธุ์ขาย มันดีกว่าการเอาผลผลิตไปขาย
แต่ทางที่ดีควรจะมีทั้งสองอย่างพร้อมกัน
แต่ว่าการที่เขาทำกิ่งขาย มันไม่มีฤดูแล้ง
ไม่มีฤดูอะไรต่ออะไร ทำได้ตลอด แต่ว่าผลผลิตนี่บางปีได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง ติดบ้าง ไม่ติดบ้าง
แต่พอแนะนำไปแค่ปีเดียวเท่านั้น ปรากฏว่าพันธุ์ไม้ปราจีนฯ โด่งดังขายดิบขายดี ชาวสงชาวสวนลืมตาอ้าปากได้
มีสตางค์กัน เพราะตอนนั้นยังใหม่ กระท้อนต้นหนึ่ง 400-500 บาท ก็มี ชาวสวนรวยกัน
บางคนขาย ส่งได้วันหนึ่งแสนสองแสนบาท ทางใต้เขาเอาสิบล้อมาขนไป แล้วเมื่อก่อนนี้ไม้มันแพง
หลังจากนั้นอีกสองปี จังหวัดปราจีนฯ ก็เป็นจังหวัดที่ผลิตพันธุ์ไม้ขายมากที่สุดในประเทศ
จนเดี๋ยวนี้ยังเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาก็นครปฐม ซึ่งที่ปราจีนฯ นี่จะเน้นไม้ผลมาอันดับหนึ่ง อันดับสองนี่เป็นไม้ดอก"

หลังจากสร้างชีวิตให้ตลาดพันธุ์ไม้ และสร้างรายได้ให้ชาวสวนของจังหวัดปราจีนบุรีแล้ว ปี 2531
คุณอรุณได้ย้ายมารับราชการ ในตำแหน่งประชาสัมพันธ์ประจำจังหวัดเชียงราย
ในปีถัดมาเขาได้เปิดร้านจำหน่ายพันธุ์ไม้ในชื่อว่า ปราจีนบุรีรวมพันธุ์ไม้
โดยให้ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากคือ คุณลออศรี ณรงค์ชัย เป็นผู้ดูแลกิจการให้ และเขาจะใช้ช่วงเวลาในวันหยุด
ลองวีคเอนด์ นำต้นไม้ใส่ท้ายรถออกตระเวนจำหน่ายยังที่ต่างๆ ด้วยตัวเอง

"จริงๆ ผมเป็นคนอุทัยธานี แต่ว่าย้ายไปทั่ว พอเปิดร้านขายต้นไม้ก็ให้แม่บ้านเร่ขายต้นไม้ไปเรื่อย ลำบาก
บางทีเสาร์อาทิตย์หยุดติดต่อกัน 3 วัน ผมออกไปขายเองก็มีนะ ช่วงนั้นเราเริ่มก่อสร้างตัว แล้วเราเป็นคนรักต้นไม้
ไปจังหวัดไหนก็มีเพื่อน เพราะวงการค้าต้นไม้นี่รู้จักกันง่าย ผมมาทำงานอยู่เชียงรายถึงปี 2537
จากนั้น จึงย้ายไปเป็นประชาสัมพันธ์ของเชียงใหม่ ทำงานกีฬาซีเกมส์ อยู่เชียงใหม่ 4 ปีกว่าๆ
ย้ายกลับมาอยู่เชียงรายอีก 2 ปี ก็เกษียณ พอเกษียณผมมาดูแลเต็มที่ เพราะชีวิตราชการมันทำอะไรไม่ได้เต็มที่


ผักหวานบ้าน พืชเศรษฐกิจเพื่อชีวิตเกษตรกร

จากการติดตามความเคลื่อนไหวในแวดวงพันธุ์ไม้มาเกือบ 20 ปี คุณอรุณ พบว่า ตลาดพันธุ์ไม้ในบ้านเรานั้น
เป็นแฟชั่นที่เปลี่ยนแปลงไปตามกระแสความนิยมของผู้บริโภค เช่น บางช่วงนิยมกระท้อนผลใหญ่เนื้อฟูนุ่ม
บางช่วงฮิตปลูกฝรั่งไร้เมล็ด บางช่วงพุทราซุปเปอร์จัมโบ้มาแรง บางช่วงนิยมมะยงชิด เป็นต้น

ปัจจุบัน คุณอรุณมองว่า ผักหวานบ้าน ซึ่งมีชื่อเรียกแตกต่างกันในแต่ละภาค
อาทิ ผักก้านตรง จ๊าผักหวาน โถหลุ่ยกะนิเต๊าะ นานาเซียม ผักหวานใต้ใบ และมะยมป่า เป็นต้น
เป็นพืชเศรษฐกิจที่กำลังมาแรงและเป็นที่ต้องการของตลาดมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผักหวานบ้านพันธุ์ลูกผสมไทย-จีน เพราะมีรสชาติหวาน กรอบ อร่อย ปลอดจากสารพิษ
และใช้ประกอบอาหารได้หลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นแกงเลียง ผัดน้ำมันหอย ใส่สุกี้ ลวกจิ้มน้ำพริก
ใส่อาหารจำพวกยำต่างๆ ใส่ก๋วยเตี๋ยวราดหน้า ทำแกงจืด ฯลฯ

อีกทั้งผักหวานบ้าน ยังเป็นแหล่งอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายอยู่หลายชนิด
ไม่ว่าจะเป็น โปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส ที่ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง
เมื่อร่างกายได้รับแคลเซียม พร้อมแมกนีเซียมที่มีอยู่ในผักใบเขียวอย่างผักหวาน
จะช่วยให้การยืดหดของกล้ามเนื้อในร่างกาย มีประสิทธิภาพสูงสุดตามไปด้วย
หากบริโภคบ่อยๆ จะช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน นอกจากนี้ ผักหวานสดยังมีวิตามิน ซี สูงมาก
ซึ่งวิตามิน ซี เป็นแอนติออกซิแดนต์ที่ช่วยไม่ให้เนื้อเยื่อ หรือเซลล์ภายในร่างกายถูกทำลายจากมลพิษทางอากาศ
และรังสีจากแสงแดดที่ทำให้เกิดมะเร็งหรือแก่ก่อนวัย รวมทั้งผิวหนังเหี่ยวย่นด้วย
ที่สำคัญผักหวานยังมีเบต้าแคโรทีน ที่มีอยู่ในผักใบเขียวทั่วๆ ไป เบต้าแคโรทีน จัดเป็นแอนติออกซิแดนต์ตัวหนึ่ง
และเมื่อถูกเปลี่ยนเป็นวิตามิน เอ แล้ว จะช่วยบำรุงสายตาช่วยให้สามารถมองเห็นได้ดีในที่มืด
และยังเพิ่มภูมิคุ้มกันแก่ร่างกาย เอาไว้ต่อสู้กับโรคติดเชื้อสารพัดชนิด
ประชาชนทั่วไปจึงนิยมรับประทานผักหวานกันทั่วทุกภูมิภาค

ผักหวานมันมีอยู่สองประเภทใหญ่ๆ คือผักหวานป่า กับผักหวานบ้าน
ผักหวานป่าใบจะกลมๆ กลิ่นมันจะแรง ชอบขึ้นอยู่ในป่าที่แห้งแล้งมากๆ
ข้อดีของมันคือความทนแล้ง มันจะแตกยอดเมื่อฝนแรก น่าจะอยู่ที่ปลายเมษาต้นพฤษภา
ซึ่งชาวบ้านจะออกล่าผักหวานกัน เขาจะจำได้ว่าตรงไหนมีกี่ต้นๆ พอฝนตกเขาก็จะไปเก็บผักหวานป่ากัน
ราคาแพงถึงกิโลละสองร้อยเลยนะ พอเข้าหน้าฝนแล้วมันก็ไม่ค่อยจะแตกยอดเท่าไหร่"

คุณอรุณเล่าประสบการณ์การนำผักหวานป่ามาทดลองปลูกในที่ราบให้ฟังว่า
"ผักหวานป่านี่มันมีข้อเสียอยู่อย่างคือ พอเอามาปลูกในที่ราบๆ นี่ตายหมด ผมเคยซื้อที่ลำพูน 200 ต้น
เอามาปลูกตายหมด ไม่เหลือสักต้น มันไม่ชอบ มันชอบอยู่ในป่า เอาออกมาไม่ได้
แต่ผมเห็นแถวสระบุรี เขาขุดหลุมเอาเมล็ดไปหยอด ปลูกกันในป่าเลย
เพราะผักหวานป่านี่มันใช้ระยะเวลาในการฟักตัว ในการสร้างรากนาน
มีคนลำพูนเคยบอกว่าระยะการฝังรากนานมาก บางทีแตกยอดมาให้เห็นนิดเดียว แต่รากยาวมาก
ดังนั้น เวลาเราซื้อมาปลูกแล้วขึ้นรถเขย่ามานี่ ไม่รอดหรอก รากมันบอบบาง ต้องปลูกกันในป่าเลย
ไม่ต้องไปเคลื่อนย้าย ไม่ต้องไปดูแลมันเท่าไหร่ ให้มันขึ้นเองตามธรรมชาติ

แต่ผักหวานบ้านลูกผสมไทย-จีน นี่ใบมันจะเรียวยาว ปลายใบจะแหลม ยอดอวบ
ถ้าหากดูแลดีๆ ยอดมันจะใหญ่เท่าปลายตะเกียบ รสชาติหวานกรอบอร่อย ไม่มีกลิ่น มันจะแตกยอดตลอดหน้าฝน
เก็บไปสามสี่วันแตกออกมาอีกแล้ว จะเก็บกันแทบไม่ทันเลย แต่พอหน้าหนาว ปริมาณการแตกยอดน้อยลง
ซึ่งมันเหมือนกันทุกที่ ดังนั้น ผักหวานในฤดูหนาวหรือฤดูแล้งจะแพงมาก กิโลกรัมหนึ่งตกเป็นร้อยๆ บาท
แต่หน้าฝนนี่ไม่ถึง ตกกิโลหนึ่ง 50-60 บาท เพราะมันเยอะมาก แต่ก็ยังถือว่าได้ราคาอยู่"

ปัจจุบันผักหวานบ้านมีราคาซื้อขายตามห้างและซูเปอร์มาร์เก็ต ประมาณกิโลกรัมละ 170-200 บาท
ทว่าในปัจจุบันยังมีผู้ปลูกผัก หวานเพื่อการค้าน้อย จึงมีปริมาณไม่พอเพียงต่อการบริโภคของประชาชนทั่วไป
ผักหวานบ้านจึงเป็นพืชเศรษฐกิจที่เหมาะแก่เกษตรกรหรือบุคคลทั่วไป
เพราะเป็นพืชที่ปลูกง่าย ปลูกได้ทุกภูมิภาค โตเร็ว เพียง 3 เดือน ก็สามารถตัดยอดขายได้
ไม่ต้องการการดูแลมาก และใช้พื้นที่ในการปลูกน้อย

"ผมเห็นว่าชาวสวนที่เชียงรายบางรายปลูกลำไยหรือลิ้นจี่ห่างกันเกินไป บางต้นห่างกันเป็น 10 เมตร
ดังนั้น ถ้าเขาปลูกผักหวานเป็นแถวไป ให้ห่างจากโคนต้นไม้ผลสักเมตรเดียว
เวลารดน้ำเราก็ไม่ต้องรดน้ำไม้ผลต้นใหญ่เลย เพราะปุ๋ยที่เราใส่ผักหวานพวกไม้ผลก็จะมาดูดไป
ผมอยากให้ชาวบ้านใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพราะทุกวันนี้เกษตรกรยังใช้พื้นที่ไม่คุ้มค่า
ถ้าเราปลูกผัก หวาน ชะอม หรือฝรั่ง หรือไม้ที่ไม่โตมาก จะช่วยให้เราใช้พื้นที่คุ้มค่า
อย่างเก็บผักหวานขายก็สามารถมีรายได้ไปจุนเจือสวนได้ บางทีได้ราคากว่าอีก เพราะมันเก็บขายได้ทุกวัน
ถ้าเก็บได้วันหนึ่ง 10-20 กิโล ก็รวยไม่รู้เรื่อง"

นอกจากชาวสวนจะปลูกผักหวานบ้านแซมในพื้นที่สวน เพื่อเพิ่มรายได้ระหว่างการรอเก็บเกี่ยวไม้ผลประจำปีแล้ว
ผักหวานบ้าน ยังเป็นพืชที่เหมาะอย่างยิ่งที่จะปลูกบนเขา หรือบนพื้นที่สูงด้วยเช่นกัน

"ผมมีความคิดว่าชาวเขาชาวดอยน่าจะปลูกผักหวานบ้านลูกผสมไทย-จีน
เพราะนอกจากจะเป็นอาหารของชาวดอยแล้ว เนื่องจากคนดอยอาหารหายาก แต่สิ่งสำคัญที่ผมว่า
คือมันจะอนุรักษ์หน้าดิน เพราะว่ารากมันเยอะ มันจะช่วยป้องกันการพังทลายของหน้าดินได้เยอะ"


ผักหวานบ้าน ปลูกง่าย ได้เงินหวานๆ

จากประสบการณ์การปลูกผักหวานบ้านลูกผสมไทย-จีนด้วยตนเอง
ประกอบกับความรู้ที่ได้จากการศึกษาหาข้อมูลและการดูงานตามที่ต่างๆ
คุณอรุณ ณรงค์ชัย จึงได้ให้คำแนะนำเรื่องการปลูก การดูแล ตลอดจนการหาตลาดจำหน่ายผักหวานบ้าน

การปลูก
ถ้าปลูกในท้องนา ควรไถและตากแดดทิ้งไว้อย่างน้อย 1 เดือน เพื่อให้ดินร่วน
จากนั้น ใช้รถไถยกร่องสูงประมาณ 40-50 เซนติเมตร ขนาดกว้าง 2.30-2.50 เมตร
ถ้าเป็นพื้นที่ที่น้ำไม่ท่วม ไม่ควรยกร่องสูงมาก เพราะถ้ายกสูงมากเกินไป ดินที่อยู่ด้านล่างจะไม่ค่อยมีปุ๋ย
หลังจากไถเสร็จแล้วโรยด้วยขี้วัวแล้วกลบ ขุดหลุมห่างกัน 50 เซนติเมตร ขนาดหลุมกว้าง 15 เซนติเมตร
ลึก 15-20 เซนติเมตร รองก้นหลุมด้วยขี้วัวแห้งคลุกดินในอัตราส่วน 1 : 1 พื้นที่ 1 ร่อง
ควรปลูกได้ 4 แถว แต่ละแถวห่างกัน 50 เซนติเมตร
และเว้นที่ว่างแต่ละร่องประมาณ 1 เมตร เพื่อสะดวกในการเดินเก็บยอดและกำจัดวัชพืช
เมื่อเตรียมหลุมเรียบร้อยแล้ว ให้แกะถุงกิ่งพันธุ์โดยใช้มือดึงรากเบาๆ อย่าให้รากขดอยู่ก้นถุง
เพราะจะช่วยให้รากตั้งตรง ทำให้ต้นไม้โตเร็ว ควรปลูกในตอนเย็น และรดน้ำทันทีที่ปลูกเสร็จ

การปลูกบนที่ดอยหรือพื้นที่ลาดเอียง ควรปลูกสลับกันตามแนวขวาง จะช่วยกันดินพังทลายได้
โดยขุดหลุมห่างกัน 50 เซนติเมตร กว้าง 20 เซนติเมตร ลึก 20 เซนติเมตร
เพราะถ้าหลุมเล็กเกินไปการขยายรากจะช้า แล้วรองก้นหลุมด้วยขี้วัวแห้ง


การให้น้ำ
ผักหวานบ้านเป็นพืชที่ชอบความชื้น แต่ไม่ชอบน้ำมากจนแฉะ ควรรดน้ำอย่างน้อยวันเว้นวันในช่วงเช้า
แต่อย่ารดจนเปียกแฉะ หากปลูกจำนวนมากควรใช้สปริงเกลอร์ดีที่สุด
เพราะจะช่วยประหยัดแรงงาน และรดน้ำได้ทั่วถึงแต่ไม่เปียกแฉะจนเกินไป

การให้ปุ๋ย
เมื่อปลูกผักหวานบ้านได้ประมาณ 15-20 วัน ให้สังเกตว่าผักหวานเริ่มแตกยอดอ่อนหรือไม่
ถ้าเริ่มแตกยอดอ่อนแสดงว่ารากของผักหวานเริ่มหาอาหารเองได้แล้ว
ให้ใช้กรรไกรอย่างคมตัดลำต้นสูงจากดินประมาณ 20 เซนติเมตร จะทำให้ผักหวานแตกยอดเป็นพุ่มเตี้ย
ถ้าไม่ตัดผักหวานจะไม่แตกยอด หลังจากตัดลำต้นช่วงนี้ต้องใจเย็นรอประมาณ 2 เดือน
ผักหวานจะแตกยอดใบอ่อน ควรเริ่มใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือ 16-16-16 แล้วรดน้ำทันที
อย่าใส่ปุ๋ยมากในระยะนี้ และควรใช้ปุ๋ยขี้วัวทุกๆ 10 วัน ส่วนปุ๋ยสูตร 15-15-15 ใส่เดือนละครั้ง
หากต้องการให้ยอดอวบกรอบ รสหวานอร่อย ควรใช้ปุ๋ยฉีดใบชีวภาพ
โดยนำก้างปลา หอยเชอรี่ ผสมกากน้ำตาลและหัวเชื้อ อีเอ็ม หมักประมาณ 2 เดือน แล้วนำมาผสมน้ำฉีดพ่นที่ใบ

ศัตรูผักหวาน
ในภาคกลางจะไม่ค่อยพบแมลงศัตรูผักหวาน แต่ในภาคเหนืออาจจะพบตัวทากที่ชอบมากัดกินใบ
สามารถกำจัดได้ด้วยการใช้ยาฉีดพ่นที่ทำจากสารสะเดา ตะไคร้หอม ยาสูบ ข่า บอระเพ็ด เหล้าขาว
หมักแล้วฉีดพ่น แทนการใช้สารเคมี หากไม่พบไม่ต้องฉีด

การตลาด
เกษตรกรสามารถนำผลผลิตไปเสนอขายให้กับร้านอาหาร ประเภทข้าวต้มโต้รุ่งในจังหวัด
ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวได้โดยตรง โดยเฉพาะในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว
จำนวนผักหวานบ้านมีไม่เพียงพอต่อการบริโภคของนักท่องเที่ยว เพราะมีรสชาติอร่อยและปลอดจากสารพิษด้วย
และในอนาคต ภาคเอกชนเตรียมแปรรูปยอดผักหวานเป็นชาพร้อมดื่มบรรจุกล่อง
และทำเป็นยาอายุวัฒนะในรูปของแคปซูลจำหน่ายด้วย เคล็ด (ไม่) ลับ ความงามของผักหวาน

คุณอรุณฝากเคล็ดไม่ลับในการดูแลผักหวานบ้านลูกผสมไทย-จีน ให้เจริญเติบโตแตกยอดอ่อนเก็บเกี่ยวได้ทุกวัน
ไว้ดังนี้คือ
"ผักหวานนี่พอปลูกได้ ประมาณปีหนึ่ง มันอาจจะมีลูกสีขาวๆ ให้รูดทิ้งหมด ไม่เอาไว้ ถ้าไม่รูดก็ตัดแต่ง มันไม่ตาย
สักเดือนกว่าๆ ก็แตกยอดใหม่อีก เพราะถ้าเก็บลูกไว้ มันจะไปแย่งอาหารหมด ไม่แตกยอด
และการดูแลผักหวานไทย-จีนนี่ เคล็ดลับมันอยู่ที่การให้น้ำ และให้ปุ๋ยคอกนะ
การให้น้ำทางที่ดีควรให้เป็นเวลา ช่วงเช้าสัก 8-9 โมง เป็นช่วงที่เหมาะสม
เพราะในความคิดของผม ช่วงนั้นแสงแดดมีอัลตราไวโอเลต พอให้น้ำแบบใช้สปริงเกลอร์ฉีดพ่นไป
มันจะมีออกซิเจนอะไรต่างๆ ผสมกันเหมาะสมพอดี บางคนถ้าสูบน้ำบาดาลปั๊บ เอามารดเลย
ถ้าอย่างนั้น น้ำบาดาลมันจะขาดออกซิเจน ไม่ว่าจะรดไม้อะไร ไม้ดอกหรือไม้ใบ มันไม่งามหรอก
เพราะขาดออกซิเจน เคล็ดลับง่ายๆ คือ ใช้สายยางฉีดน้ำให้เป็นฝอย แล้วยกมือขึ้นสูงๆ ให้น้ำเป็นฝอยมากที่สุด
เพราะระหว่างที่มันเป็นฝอย ออกซิเจนในอากาศจะได้มาผสมกลมกลืนกัน
แล้วช่วงเช้าที่แสงแดดพอดี จะทำให้ผักหวานเติบโตดี เคล็ดลับง่ายๆ พวกนี้คนไม่ค่อยคำนึงกัน
แล้วด้านของปุ๋ยนี้ขอให้เน้นปุ๋ยคอก แต่อย่าใส่ขี้วัวที่แฉะหรือที่ยังไม่แห้งสนิท เพราะมันมีความเป็นกรด
แต่ถ้าขี้วัวที่แห้งสนิท ร่วนดี ผักจะงามดี ถามว่าใส่ขี้ไก่ ขี้หมูได้ไหม บางส่วนไม่นิยมคือถ้าจะใส่ก็ได้
แต่น่าจะเอามาผสมดินสักหน่อย เพื่อลดความเค็มลง"

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเหล่านี้ สามารถเนรมิตให้แปลงผักหวานบ้านเจริญงอกงาม
สร้างรายได้ให้เกษตรกรอย่างคุ้มค่าทีเดียว ชาวเชียงรายท่านใดสนใจปลูกผักหวานลูกผสมไทย-จีน
สามารถขอรับคำแนะนำได้ที่ คุณอรุณ ณรงค์ชัย โทร. (053) 747-190 หรือ (01) 951-2960

อรพินท์ ประพัฒน์ทอง : รายงาน
หนังสือ เทคโนโลยีชาวบ้าน
วันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2548 ปีที่ 17 ฉบับที่ 355
ข้อมูลโดย : http://info.matichon.co.th
ที่มา : http://library.dip.go.th
ภาพจาก : http://news.cedis.or.th

ปลูกอะไรดี (4) "ตะไคร้" รายได้ 15,000 – 20,000 บาท/เดือน/ไร่

ตะไคร้พืชเศรษฐกิจที่น่าจับตาปลูกง่ายดูแลง่ายขายได้ราคา

วันพฤหัสบดีที่ 11 ตค. 2555

ตะไคร้เป็น พืชพื้นบ้านที่มีประโยชน์หลายอย่าง ได้ทั้งทำอาหาร เครื่องดื่ม เป็นยารักษาโรค และไล่แมลง เราใช้ประโยชน์จากตะไคร้กันมานานแล้ว ที่ชัดเจนที่สุดก็คือการทำอาหาร ตะไคร้เป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของอุตสาหกรรมเครื่องแกง ปัจจุบันตะไคร้ในตลาดยังไม่เพียงพอที่จะป้อนเข้าโรงงาน และในตลาดสดตะไคร้ก็ยังเป็นที่ต้องการของแม่บ้าน และผู้ประกอบการรายเล็ก ๆ อยู่

ปลูกตะไคร้ขายดีอย่างไร

  1. ตะไคร้เป็นพืชโตเร็ว เพียงแค่ 1-2 เดือนก็สามารถตัดขายได้แล้ว
  2. ขยายพันธุ์ง่าย ซื้อต้นพันธุ์แค่ครั้งแรก สามารถเก็บเกี่ยวได้ตลอดไป
  3. ตะไคร้เป็นพืชที่มีโรคน้อย ศัตรูพืชก็ไม่มี จึงไม่ต้องกังวลเรื่องดูแล เพียงแค่ดูแลวัชพืชที่แปลงปลูกเล็กน้อย
  4. เป็นพืชที่ทนแล้งได้ดี ให้น้ำ 2 วันครั้งก็ได้
ราคาตะไคร้ในท้องตลาดอยู่ที่ 10 บาทต่อ 1 กิโลกรัม

การลงทุน

การ ปลูกตะไคร้ไม่ต้องลงทุนมาก ตอนแรกลงทุนต้นพันธุ์ตะไคร้ โดยต้นพันธุ์สามารถซื้อตะไคร้ที่เขาขายตามตลาดมาก็ได้ นำมาแช่น้ำให้รากออก (ใช้เวลาประมาณ 3 วัน) แล้วนำลงปลูก ไม่ต้องลงทุนเพิ่มอีก เพราะสามารถตัดได้ตลอด

เทคนิคการปลูกตะไคร้

  1. การเตรียมดิน ตะไคร้ชอบดินร่วนซุย ให้ไถพลิกดินและไถพรวนลึกประมาณ 0.5 เมตร แล้วทำหลุม แต่ละหลุมห่างกันประมาณ 0.5 เมตร
  2. ลงต้นพันธุ์หลุมละ 3 ต้น กลบดินพอมิดรากตะไคร้สัก 10 เซนติเมตร
  3. ปลูก ใหม่ให้รดน้ำทุกวัน แต่ระวังอย่าให้น้ำเข้าไส้ตะไคร้ เวลาลดให้ลดทีโคนต้นตะไคร้เท่านั้น มิฉะนั้นต้นตะไคร้จะเน่า ห้ามใช้สปริงเกอร์เป็นอันขาด ให้น้ำที่โคนกกเท่านั้น
  4. ในช่วง 3 วันแรกที่ปลูกให้พลางแสงแดดให้ตะไคร้ด้วยมู่ลี่ จากนั้นก็เอาออกซะ เพราะตะไคร้ปรับตัวได้แล้วและธรรมชาติของตะไคร้ชอบแดด เจริญเติบโตได้เพราะมีแสงจ้า
  5. เมื่อผ่านไป 1 เดือน ตะไคร้จะเริ่มตั้งกอ ให้สักเกตที่ต้น ถ้าต้นเจริญเติบโตดี (ลำต้นที่ใช้ได้ สามารถตัดไปขายได้เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1.5-2 เซนติเมตร) ตัดตะไคร้ให้ติดกก แต่อย่าให้สะเทือนรากที่อยู่ในดิน เพราะตะไคร้สามารถแตกขึ้นมาตั้งกอได้อีก หลังตัดไม่ต้องหาต้นพันธุ์มาปลูกใหม่
  6. เมื่อตัดควรตัดให้หมดกอ เพื่อต้นตะไคร้ที่แตกใหม่จะได้เติบโตได้เต็มที่
  7. หลัง จากตัดแล้วตะไคร้จะตั้งกอใหม่ภายในเวลา 1-2 เดือน เมื่อตะไคร้โตเต็มที่แล้วก็สามารถตัดได้อีกเรื่อยไปจนกว่าต้นจะโทรมหรือ ตะไคร้ไม่แตกขึ้นมาอีก

การตกแต่งตะไคร้เพื่อส่งขาย

ตะไคร้เมื่อ ตัดมาแล้วใบจะยาวและมีก้านสีน้ำตาลแห้ง ๆ ติดมาด้วย ให้ตัดก้านใบที่แห้งออกให้หมด รวมถึงต้องลอกก้านใบที่อ้าออกมาด้วย ให้เหลือแต่ต้นกลม ๆ ใบก็ตัดออกครึ่งหนึ่ง ถ้าตัดแล้วยังไม่ขายสามารถแช่น้ำไว้ได้ โดยตั้งต้นตะไคร้ให้ตรงในภาชนะทรงกระบอก ใส่น้ำพอท่วมกกตะไคร้ ตะไคร้จะอยู่ได้ประมาณ 1-2 วันแล้วจึจะแตกราก ถ้าแตกรากแล้วขายไม่ได้ เก็บไว้ทำพันธุ์ขยายปลูกต่อไป
ตะไคร้ 
ตะไคร้สามารถ ปลูกได้ตลอดทั้งปี มีพ่อค้ามารับซื้อถึงไร่ ถ้ารับซื้อจำนวนมากจะคิดราคาเหมาเป็นตัน ตะไคร้สร้างรายได้ 15,000 – 20,000 บาทต่อไร่
การปลูกตะไคร้ไม่มีแมลงมารบก วนเพราะกลิ่นฉุน แต่จะมีโรคใบแดงเพราะเชื้อราบ้างให้หายามาฉีดเสีย อย่าปล่อยให้ลุกลาม เดี๋ยวจะติดกออื่น ตะไคร้ไม่ต้องใส่ปุ๋ยก็ได้ถ้าดินดี แต่ถ้าต้องการใส่ให้ใส่ปุ๋ยสูตรใบที่โคนต้น ไม่ต้องติดโคนมากนัก หว่านบนดินทิ้งระยะสัก 5 นิ้วรอบกกต้น ให้ปุ๋ยเดือนละ 1 ครั้งก็เพียงพอแล้ว
นอก จากจะขายส่งแล้วเรายังสามารถแปลรูปตะไคร้เป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้อีก เช่น ทำเครื่องดื่มน้ำตะไคร้ นำไปทำยำตะไคร้ และสเปรย์ตะไคร้หอมไล่ยุง เป็นต้น
จาก ข้อมูลข้างต้น ตะไคร้เป็นพืชที่คู่ควรต่อการลงทุนปลูก เพราะเก็บผลผลิตได้เร็ว ลงทุนน้อย และตลาดรองรับ ตะไคร้พันธุ์ที่ตลาดนิยมรับซื้อเป็นตะไคร้ขาว ตะไคร้ขาวเป็นตะไคร้ที่ใช้ทำอาหาร และเครื่องแกง ส่วนตะไคร้หอม ส่วนแบ่งการตลาดจะน้อยกว่า แต่ก็ยังขายได้ ตะไคร้หอมนำไปทำสเปรย์ไล่ยุง ส่วนตะไคร้แดงไม่ค่อยมีคนรับซื้อมากนัก ไม่นิยมปลูก

ที่มา
อาชีพเสริม สร้างรายได้

ปลูกอะไรดี (3) "มันสำปะหลัง" 7 ไร่ ได้เงินล้าน

ปลูกมันสำปะหลัง 7 ไร่ ให้ได้เงินล้าน งานเกษตรทำเงิน ของ คะนอง แป้นตระกูล

                วิถีชีวิตทำกิน ของเกษตรกรของไทย แทบจะไม่มีอาชีพใดทำแล้วรวย โดยเฉพาะอาชีพการปลูกพืชไร่ ส่วนใหญ่แค่พออยู่พอกิน ยกเว้นแต่คนที่มีศักยภาพในการทำธุรกิจเกษตร ซึ่งมักจะเป็นบริษัทที่มีความพร้อมทางด้านทรัพยากร ความรู้ และเงินทุนมหาศาลเท่านั้น แต่การเกษตรสามารถทำให้เกษตรกร มีอยู่มีกิน อยู่อย่างพอเพียงได้ หากจะทำงานเกษตรให้รวย ยังเป็นเรื่องไกลตัว แต่วันนี้มีทางออก และทางเลือกใหม่ ทำเกษตรให้รวยได้ ถ้าใจรัก ขยัน อดทนและเอาใจใส่ ทำอย่างจริงจัง ทำเกษตร 1 ไร่ ได้เงินแสน ทำ10 ไร่ ได้เงินล้าน การณ์นี้มิได้เกินจริง เพราะผู้เขียนบุกมาพิสูจน์จริง ที่สวนเกษตรกรจังหวัดเพชรบูรณ์ ปลูกมันสำปะหลัง แค่ 7 ไร่ สามารถได้เงินล้านเลยทีเดียว

                บนพื้นที่ประมาณ 10 ไร่ ถูกจัดสรรปันส่วนไว้ปลูกบ้าน บ่อเลี้ยงปลา และปลูกไม้ผล พืชผักไว้รับประทานเอง ประมาณ 3 ไร่ เหลือพื้นที่ประมาณ 7 ไร่ ใช้เป็นแปลงปลูกมันสำปะหลัง ตามโครงการ 30 ตัน/ไร่ ของนายคะนอง แป้นตระกูล เกษตรกรหัวก้าวหน้า วัย 60 กว่าๆ จาก อ.บึงสามพัน จ.เพชรบูรณ์

                คุณคะนองเล่าความเป็นมาให้ฟังว่า เดิมทีตนมีอาชีพส่งเสริมชาวบ้านให้ปลูกผัก ปลูกแตงกวา แตงโมอ่อน พริกสด ส่งขายตลาดไทย ตลาดสี่มุมเมือง โดยตนจะออกค่าปุ๋ย ค่ายาให้ชาวบ้านที่เป็นสมาชิกลูกไร่ พอผลผลิตออก ก็จะไปรับผักส่งตลาดเอง ขายได้ก็หักค่าใช้จ่าย ที่เหลือก็คืนให้ลูกไร่ ทำไปทำมา ราคาพืชผักผันผวนมาก ราคาขึ้นลงวันหนึ่งหลายรอบ โดยพ่อค้าคนกลางตัดราคาอีหลายทอด ทำให้ขาดความแน่นอนในเรื่องของราคา  ทำไปทำมาก็ขาดทุนไปเรื่อย เลยเลิกโครงการ แล้วก็หยุดอาชีพการเกษตรไปเลย

                “ต่อมาก็ไม่ได้ทำอาชีพอะไรอย่างจริงจัง ปล่อยไร่ให้ชาวบ้านเช่า ปีละไม่กี่พันบาท จนกระทั่งเมื่อปลายปี  พ.ศ.2554 ช่วงน้ำท่วมใหญ่พอดี ก็มีคนแนะนำว่า มีมันสำปะหลังพันธุ์ใหม่ ปลูก 1 ไร่ จะได้ผลผลิตสูงถึง 30 ตัน ตอนนั้นผมไม่เชื่อหรอกจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อแถวบ้านผมคนปลูกมันสำปะหลังเป็นอาชีพ อย่างเก่งก็ได้ไร่ละ 3-5 ตันเท่านั้น เขาปลูกกันมาหลายชั่วชีวิตคน ยังได้ผลผลิตแค่นั้น แต่ผมก็ศึกษาดูจากข้อมูลที่ลูกๆหามาให้ อ่านหนังสือ ดูรายละเอียดอยู่นาน ก็คิดนัก ทั้งอยากลองปลูก ทั้งกลัวเหนื่อย กลัวไม่ได้ผล เพราะผมไม่เคยทำไร่ ด้วยตัวเองมาก่อน แต่ก็ทนคำรบเร้าจากลูกๆไม่ได้ เพราะเขาซื้อพันธุ์มาให้ ต้นละ 15 บาทก็เลยตัดสินใจปลูก มันในพื้นที่ ทั้งหมด 7 ไร่ มี 2 สายพันธุ์ คือ เกล็ดมังกรจัมโบ้ 4 ไร่ และไจแอนท์-เบอร์1 อีก 3 ไร่ โดยปลูกตามหลักวิชาการและการจัดการตามโปรแกรม ของ โปร-1 มีนักวิชาการมาช่วยอบรม ให้คำแนะนำการปลูกทุกขั้นตอน”

ปลูกตามหลักวิชาการ-ด้วยระบบโปรแกรมการจัดการ
                คุณคะนอง กล่าวต่อว่า เริ่มต้นจากการเตรียมดิน ด้วยการขุดดินไปวิเคราะห์หาธาตุอาหาร วิเคราะห์โครงสร้างของดินและเพื่อคำนวณสูตรปุ๋ย ทำเป็นปุ๋ยสั่งตัด ผสมใช้เอง ตรวจดินแล้วก็เริ่มไถดะผลาญ 3 ไถให้ลึกที่สุด เติมปุ๋ยขี้ไก่พร้อมแกลบเล้าไก่ ไร่ละประมาณ 1 ตัน ตากดินไว้ 2 สัปดาห์ แล้วไถแปร และไถตีดินละเอียดด้วยเครื่องโรตาลี่ อีกรอบ ปรับพื้นไร่ให้เรียบไม่ต้องยกร่อง จากนั้นก็ต่อระบบน้ำ โดยใช้ระบบสปริงเกอร์ เดินระบบน้ำเสร็จ เปิดน้ำรดให้ชุ่ม จากนั้นเตรียมท่อนพันธุ์ด้วยการแช่น้ำยาโปร-ฟอส กับโปร-1 เบอร์1 แช่ท่อนพันธุ์ 2 ชั่วโมงก็ใช้ได้ แล้วนำไปปลูกในแปลงที่รดน้ำให้ชุ่มไว้แล้ว ปักเอียง 45 องค์ศา หันหัวไปทางทิศตะวันออก ปลูกห่างกัน ระหว่างต้นและระหว่างแถว 1.20X1.20 เมตร พื้นที่ 1 ไร่ใช้ท่อนพันธุ์ปลูก 1,200 หลุม หรือใช้ต้นพันธุ์ก่อนตัดเป็นท่อน ประมาณ 250 ต้น/ไร่ หลังจากปลูกมันเสร็จ ให้ฉีดยาคุมหญ้า หาซื้อได้ตามร้านขายเคมีภัณฑ์ทั่วไป จะช่วยคุมการงอกของเมล็ดหญ้าได้ประมาณ 1 เดือน

                ปลูกมันสำปะหลังครั้งแรก ให้รดน้ำอาทิตย์ละครั้ง ในระหว่างนั้น ให้ใช้จุลลินทรีย์หน่อกล้วย ซึ่งหมักใช้เอง ไม่ต้องซื้อ ผสมน้ำ อัตราส่วน 1 ลิตร ต่อน้ำ 100 ลิตร ฉีดพ่นลงดิน อาทิตย์ละครั้ง จะช่วยให้ย่อยสลายจุลินทรีย์ในดินได้ดี และช่วยให้ดินร่วนซุยมากขึ้น หลังจากปลูกประมาณ 1 สัปดาห์ มันสำปะหลังจะเริ่มแตกตาและออกใบ ให้ฉีดโปร-1 0 จำนวน 20 ซีซีและเบอร์2 จำนวน 5 ซีซี ผสมน้ำ 20 ลิตร และใช้ฉีดต่อเนื่องทุก 21 วัน พออายุได้ 1 เดือนให้ปุ๋ยเคมี ใช้สูตรปุ๋ย 46-0-0 จำนวน 10 กก./ไร่ สูตร18-48-0 จำนวน 6 กก./ไร่ สูตร 0-0-60 จำนวน 9 กก./ไร่ ขี้ไก่อัดเม็ด 1 กระสอบ และแร่เทคโตมิค 1 กก./ไร่ ผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน โรยรอบโคนต้น 3 เดือนใส่ 1 ครั้ง และรดน้ำทุก 15 วัน ก็พอ หลักการนี้ทำให้มันสำปะหลังโตไว ลำต้นแข็งแรง ออกหัวเร็ว หัวดก โตเร็ว ให้หัวใหญ่ด้วย

                “ผมปลูกมันสำปะหลังสองพันธุ์จะโตเร็ว ให้คนงานดาหญ้า แค่ 2 รอบ พอเดือนที่ 3 มันจะต้นสูงท่วมหัว คลุมพื้นหมดเลย หญ้าไม่ขึ้นอีก พอมันโตแล้ว เราเปิดน้ำ ให้มันเดือนละ 2 ครั้ง แต่ฉีดจุลินทรีย์หน่อกล้วยอาทิตย์ละครั้ง การปลูกมันด้วยโปรแกรมการจัดการแบบ โปร-1 ทำให้ประหยัดต้นทุนมาก เพราะเฉลี่ยแล้วใช้ปุ๋ยเคมี ตลอดปี ผมใช้เพียงไร่ละประมาณ 1 กระสอบเท่านั้น ฮอร์โมนเร่งต้น เร่งหัวเพียง 21 วัน ต่อครั้ง  และฉีดแค่อายุ 6 เดือนก็หยุดฉีด การให้น้ำก็เปิดสปริงเกอร์ 15 วันครั้ง แต่ถ้าทำระบบน้ำหยด ยิ่งสะดวกสบายกว่านี้อีก แปลงต่อไปผมจะใช้ระบบน้ำหยด ผมลงทุนการปลูกมันสำปะหลังครั้งนี้ เฉลี่ยค่าใช้จ่าย ไร่ละประมาณ 1,5000 บาท ทั้งหมด 7 ไร่ใช้งบประมาณประมาณ 105,000 บาท ผมจ้างทุกอย่าง ทั้งค่าไถ ค่าฉีดยา ค่าดาหญ้า ค่าคนปลูก ไม่ได้จ่ายครั้งเดียวหมดนะครับทยอยจ่ายตามรายการที่ทำ แต่รายได้มากกว่าหลายเท่าเลยครับ”

ปลูกมันสำปะหลัง 7 ไร่ ให้ได้เงินล้าน


กระทู้: ปลูกมันสำปะหลัง 7 ไร่ ให้ได้เงินล้าน งานเกษตรทำเงิน ของ คะนอง แป้นตระกูล
เริ่มกระทู้โดย: destinygoal ที่ 7 มี.ค. 13, 15:21 น

ปลูกมันสำปะหลัง 7 ไร่ ให้ได้เงินล้าน

                “ตอนนี้ผมปลูกมันสำปะหลังพันธุ์เกล็ดมังกรจัมโบ้ และพันธุ์ไจแอนท์-เบอร์1 ได้ 7 เดือนแล้วครับ ผมเริ่มขายต้นพันธุ์ได้แล้ว ตัดต้นขายต้นละ 15 บาท มันสำปะหลังเกล็ดมังกรจัมโบ้ 1 ต้น ให้กิ่งที่ยาวเกิน 1.20 เมตร ประมาณ 5-10 กิ่ง ขายได้ทุกกิ่ง  1ไร่ ผมปลูก 1,200 ต้น ได้กิ่งที่สมบูรณ์ประมาณ 6,000-12,000 กิ่ง ผมตัดขายไปแล้วประมาณ 2 ไร่ มีรายได้ กว่า 200,000 บาท ได้ทุนคืนและได้กำไรแล้วครับ ยังเหลือต้นพันธุ์อีกกว่า 5 ไร่ และมีคนจองไว้อีกหลายหมื่นต้น ถ้าคำนวณขั้นต่ำ ตัดกิ่งมันสำปะหลังขายต้นละ 5 กิ่ง 1 ไร่ จะได้ต้นขาย 6,000 กิ่ง ขายกิ่งละ 15 บาท จะมีรายได้จากการขายกิ่งอย่างเดียว ไร่ละ 90,000 บาท เริ่มตัดขายได้ตั้งแต่ 6 เดือน 1 ปี ตัดต้นขายได้ 2 รอบ ดังนั้น 1 ไร่ สามารถตัดต้นขายได้ ไม่ต่ำกว่า 12,000 กิ่ง รายได้รวมกว่า 180,000 บาท/ไร่ ผมปลูก 7 ไร่ สามารถทำรายได้ กว่า 1,200,000 บาทใน 1 ปี” คุณคะนองกล่าว

ปลูกมัน 7 เดือนได้ผลผลิตกว่า 30 ตัน/ไร่

                คุณคะนองกล่าวอีกว่า โอกาสของรายได้มีมากกว่านั้น เพราะตอนนี้ ได้ขุดหัวมันขึ้นมาพิสูจน์ เกล็ดมังกรจัมโบ้ ปลูกไปแค่ 7 เดือน ขุดขึ้นมาชั่งน้ำหนัก 2 ต้นๆแรก ได้น้ำหนัก 18.50 กก.1ไร่ ปลูก 1,200 ต้น น้ำหนักเฉลี่ย 22,200 บาท หรือ 22.2 ตัน/ไร่ ต้นที่ 2 ได้น้ำหนัก 25.8 กก. 1ไร่ได้น้ำหนักเฉลี่ย 30,960  กก.หรือ 30.96 9 ตัน มีเกษตรกรจากในพื้นที่ มาร่วมพิสูจน์กว่า 10 คน ทุกคนต่างตื่นเต้นกับผลผลิตที่ได้ และมั่นใจว่า มันสำปะหลังพันธุ์เกล็ดมังกรจัมโบ้ สามารถตอบโจทย์ แก้จนให้เกษตรกร ได้แน่นอน

                ส่วนพันธุ์ไจแอนท์-เบอร์1 ผมปลูกได้เพียง 6 เดือน ขุดหัวมันขึ้นมาพบว่าหัวดก ออกหัวเป็นชั้น แต่หัวมันยังอ่อน สามารถโตได้อีกมาก ชั่งดูแล้วได้น้ำหนัก 19.0 กก. คำนวณน้ำหนักเฉลี่ยไร่ละ 22,800 กก.หรือ 22.8 ตัน จะเห็นได้ว่ามันสำปะหลังทั้ง 2 สายพันธุ์ปลูกแค่ครึ่งปี สามารถให้ผลิตสูง น้ำหนักดี ไม่ต่ำกว่า 20 ตัน/ไร่แน่นอน ถ้าปลูกเป็นปี ต้องได้น้ำหนักมากกว่านี้ ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีของเกษตรกร

                “แถวบ้านผมจะทำอาชีพการเกษตรกันทุกบ้าน ส่วนใหญ่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ จะเก็บเกี่ยวกันประมาณเดือนกันยายน หลายคนเก็บข้าวโพดเสร็จแล้วก็จะ ลงปลูกมันสำปะหลังทั้ง 2 พันธุ์ ต่อเลย เชื่อว่าถ้ามันสำปะหลังราคาดี แค่ กก.ละ 2 บาท โอกาสที่จะมีรายได้อย่างต่ำไร่ละ 40,000 บาท มีความเป็นไปได้แน่นอน

                ที่สำคัญแถวบ้านผม จังหวัดเพชรบูรณ์และนครสวรรค์ ลานมันรับซื้อมันราคาเดียว ไม่มีกำหนดเปอร์เซ็นต์แป้ง ราคารับซื้อขึ้นๆลงๆตามฤดูกาล ปัจจุบัน ราคากิโลกรรมละ 2.50 บาทบางปีราคาดี กิโลกรัมละ 3.20 บาท และราคาต่ำสุด ประมาณ 1.40 บาท เมื่อเถ้าแก่ลานมันกำหนดการรับซื้อแบบนี้ ผมมีโครงการจะปลูกมันปรัง 1 ปี ปลูก 2 ครั้ง ขุดขายได้ 2 รอบ ลองคิดเล่นๆ ถ้าผมปลูกตามโปรแกรมนี้ 6 เดือนได้ไร่ละ 20 ตัน ขายตันละ 2,500 บาท มีรายได้ไร่ละ 50,000 บาท หักค้าขุดและค่าต้นทุน แล้วเหลือไม่ต่ำกว่าไร่ละ 30,000 บาทแน่นอน 1 ปี ปลูกได้ 2 รอบ รายได้ไร่ละ 1 แสนบาทหรือหักค่าใช้จ่ายแล้วก็ไม่ต่ำกว่า 60,000-70,000 บาท/ไร่ แค่ขุดหัวขายอย่างเดียว ผมคิดว่าเกษตรกรจะสามารถลืมตาอ้าปากได้แน่นอนครับ”

                วันนี้ไร่มันสำปะหลังของคุณคะนอง เปิดให้ศึกษาดูงาน ชมวิธีการปลูก ดูแปลงจริง และขุดพิสูจน์หัวมันจริงๆ พร้อมกับมีต้นพันธุ์ เกล็ดมังกรจัมโบ้ และไจแอนท์-เบอร์1 จำหน่าย นอกจากนี้ยังยินดีให้คำปรึกษาการปลูกมันสำปะหลังตามโปรแกรม ของโปร-1 ให้กับทุกท่านอย่างละเอียดด้วย

                สนใจสอบถามรายละเอียด ได้ที่คุณคะนอง แป้นตระกูล 72  หมู่8 ต.ศรีมงคล อ.บึงสามพัน จ.เพชรบูรณ์


กระทู้: ปลูกมันสำปะหลัง 7 ไร่ ให้ได้เงินล้าน งานเกษตรทำเงิน ของ คะนอง แป้นตระกูล
เริ่มกระทู้โดย: hellocar ที่ 8 มี.ค. 13, 08:44 น

การทำการเกษตร ต้องรู้จักดินในแปลงก่อน..การนำดินไปวิเคราะห์แร่ธาตุและรู้ปริมาณ สารอาหารของพืชในดิน
  ต้องล่วงรู้จักนิสัยของพืชในแต่ละชนิดที่จะทำการเพาะปลูก

การปลูกมันสำปะหลัง งานไม่หนัก แต่ต้องใช้ความขยัน ช่างสังเกตุ(ก็เหมือนการทำกิจกรรมอื่นๆ)

   ผมก็คิดว่า มันน่จะลองดูเหมือนกัน หากใครมีพื้นที่ และพอมีเวลาในการดูแล ผมคิดว่าไม่น่าจะเหนื่อยฟรี

  ที่ดินของผม ยังว่างไม่ได้ใช้ทำประโชน์ประมาณไร่กว่าๆ..ผมก็คิดว่าจะลองทำดู เพื่อความรู้ เป็นการเรียนรู้สำหรับผมเอง และหมู่คนใกล้ชิด..

  ผมคิดว่า เพื่อนข้าราชการ ที่มีที่ดินไม่ได้ใช้ประโยชน์ น่าจะลองทำดู เพราะใช้เวลาไม่มาก เอาเวลาในวันหยุดราชการ ก็พอจะบริหารได้ หลายอย่าง เราจ้างคนงานทำแทนได้ เช่นการปลูกท่อนมัน การเตรียมดินในขั้นตอนต่างๆก็จ้างรถไถ
   จะใช้แรงงานตนเอง ก็คงเป็นขั้นตอนดูแล ตอนให้น้ำ..

กาปลูกมันสำปะหลัง เกษตรกรมักไม่ทำกันอย่างปราณีต จึงได้ผลตอบแทนที่ไม่ได้ดังใจหมาย

   มันสำปะหลัง เป็นพืชที่ดูดชับอาหารจากดิน และอากาศได้ดี ทนทานต่อโรคและแมลง ทนแล้งได้ดี
หาก หมั่นเพียรกำจัดพวกวัชพืช และขยันให้น้ำ ให้ปุ๋ย จะเจริญเติบโตได้ดี เป็นไปตามนิสัยของพืชที่มีถิ่นกำเนิดจากทะเลทราย จากที่อันแห้งแล้ง

  ผมคงต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูสุขภาพของผมอีกซักระยะนึง แล้วคงจะทดลองปลูกมัน โดยการทำอย่างปราณีตครับ


กระทู้: ปลูกมันสำปะหลัง 7 ไร่ ให้ได้เงินล้าน งานเกษตรทำเงิน ของ คะนอง แป้นตระกูล

ที่มา เว็บไซต์ sanook.com